อดีตขุนคลังชำแหละ “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์กำลังชอกช้ำหนัก”

สมหมาย ภาษี

“สมหมาย ภาษี” อดีต รมว.คลัง ยุค คสช. โพสต์เฟซบุ๊ก “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์กำลังชอกช้ำหนัก” แนะนายกฯ เปลี่ยนตัวคนรายงานสถานการณ์ใหม่

วันที่ 16 กันยายน 2564 นายสมหมาย ภาษี อดีต รมว.คลัง ยุค คสช. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Sommai Phasee – – สมหมาย ภาษี” ว่า ภูเก็ตแซนด์บอกซ์กำลังชอกช้ำหนัก โดยมีข้อความดังต่อไปนี้

“เป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลกำลังพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเห็นได้จากเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่รัฐบาลได้เตรียมการมานานพอสมควร ในการเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เป็นการฟื้นฟูการท่องเที่ยวโครงการแรกของประเทศไทย จากนั้นก็จะเปิดในจังหวัดอื่นๆที่มีความเป็นไปได้ตามมา

หลักการคือ ต้องมีการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรด้านการท่องเที่ยว โดยแรกเริ่มตั้งเป้าไว้ที่ 50% ของประชากร จากนั้นให้เพิ่มเป้าการฉีดเป็น 70% ของประชากร ซึ่งคนภูเก็ตและบุคลากรด้านการท่องเที่ยวก็ให้ความร่วมมือด้วยดี พร้อมๆกับการเตรียมเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ วันหนึ่งท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้ประกาศว่าจะเปิดประเทศใน 120 วัน ซึ่งจะครบกำหนดให้วันที่ 16 ต.ค. นี้ หรือประมาณ 1 เดือนจากนี้

แต่เมื่อมาประเมินผลการเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงเมื่อ 2 เดือนที่แล้วที่ได้มีการเปิดโครงการ Samui Plus ขึ้นมาด้วย นอกจากนั้น ยังมีความพยายามลดหย่อนเงื่อนไขต่างๆให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาภูเก็ตจากเดิม 14 วัน ให้สามารถเข้าพัก 7 วันแรกที่ภูเก็ต และ 7 วันถัดไปสามารถไปพักที่สมุย พังงา กระบี่ เป็นต้น ถ้าไปได้แบบนี้แล้วอีก 1 เดือนข้างหน้าครบกำหนด 120 วัน รัฐบาลก็จะเปิดประเทศได้ แม้จะไม่ครบทุกจังหวัด แต่ก็จะเปิดจังหวัดท่องเที่ยวได้อย่างน้อย 10 จังหวัด ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีเหลือล้ำสำหรับประเทศไทย

ตัวผมเอง เชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะยุโรป, ออสเตรเลีย, รัสเซีย และประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ ยกเว้นประเทศจีน อยากจะเดินทางมาเที่ยวไทยมาก ร่วม 2 เดือนมาแล้วที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอัดอั้น อยากมาเที่ยวแถบนี้มาก ผมได้ฟังจากนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันรายหนึ่ง ชื่อนายรีโน่ ก่อนจะเดินทางมาได้คิดว่าจะมาท่องเที่ยวที่ไหนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดี มาเลเซียหรือเวียดนามก็ไม่มีการปราบปรามโควิดได้ดีเท่าไทย ฟิลิปปินส์ก็มีข่าวว่าการระบาดขยายตัวมากกว่าไทย ยังไม่เห็นทางว่าจะลดการติดเชื้อให้น้อยลงได้ ดังนั้น จึงเห็นว่าประเทศไทยนี่แหละดีที่สุด จึงเลือกมาเที่ยวประเทศไทย ซึ่งชาวเยอรมันรายนี้เล่าว่า เดิมทีจะเดินทางมา 5 คนพร้อมกัน เมื่อคิดจะมาภูเก็ตก็ได้หาข้อมูลและเงื่อนไขการเดินทาง โดยค้นดูในแอปพลิเคชันต่างๆที่เกี่ยวข้องและพยายามกรอกข้อมูลเข้าไปผ่านระบบออนไลน์ ผลที่สุดแล้วเพื่อนอีก 4 คนขอถอนตัว เพราะปวดหัวกับการกรอกข้อมูลมากมายก่ายกองในระบบเพื่อส่งข้อมูลให้รัฐบาลไทย จึงเหลือเพียงเขาคนเดียวที่กล้าหาญเดินทางมา

ตอนที่ผมเจอนักท่องเที่ยวรายนี้ เขาพักอยู่ในจังหวัดภูเก็ตมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว เขาชอบใจมาก เกาะภูเก็ตสวยมาก แต่เขาก็มีความอึดอัดใจมากที่อยากจะเล่าให้ฟัง 2 – 3 เรื่อง เรื่องแรกคือ เมื่อเดินทางมาถึงภูเก็ต ทั้งๆที่มีเอกสารการเดินทางครบถ้วยและผ่านการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว แต่ยังต้องเสียเวลากรอกข้อมูล พร้อมตรวจ RT-PCR อีกรอบที่สนามบินภูเก็ต ซึ่งเขาก็แปลกใจเนื่องจากเพิ่งจะตรวจจากต้นทางก่อนเดินทางมา ทำให้เสียเวลาในสนามบินภูเก็ตเกือบ 2 ชั่วโมง และได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่นๆ พบว่ารำคาญมากเช่นกัน

ครั้นเมื่อมาถึงโรงแรมก็ได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มจากพนักงานต้อนรับทุกคน เขาก็ดีใจ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพนักงานที่ส่งรอยยิ้มให้เขานั้น ในใจเขามีความสุขแค่ไหน เพราะสังเกตเห็นว่ามีอะไรแอบแฝงที่แสดงให้เห็นถึงความไม่สบายใจของพนักงานโรงแรม อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกผิดหวังมาก เมื่อเข้าพักในโรงแรม ซึ่งอาหารอร่อย พนักงานก็ดูแลอย่างดี แต่เวลาจะทาน Dinner อยากจะดื่มไวน์สักแก้วสองแก้ว ไวน์ขาวก็ได้ ไวน์แดงก็ได้ หรือเบียร์สักกระป๋อง ก็พอไหว ทั้งนี้ เพราะเขาเป็นชาวยุโรปและมักจะดื่มแอลกอฮอล์ในมื้อเย็นเพื่อช่วยย่อยอาหาร แต่ที่เขารู้สึกผิดหวังกับโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์หนักในเรื่องต้องทาน Dinner กับน้ำผลไม้ หรือน้ำเปล่า เท่านั้น เขาพูดว่าถ้ากลัวโควิด ก็ควรห้ามขายแอลกอฮอล์ในผับบาร์ก็คงพอ

พอกันทีที่จะไปถามนักท่องเที่ยวคนอื่น คงไม่ต่างกับคุณรีโน่คนนี้เท่าไหร่นัก เรามาดูกันดีกว่าว่าในช่วงที่จะเป็นฤดูท่องเที่ยวปีนี้ และช่วงที่นายกรัฐมนตรีของไทยจะเปิดประเทศนั้น บรรดาสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายของ ร้านขายไอศกรีม ขนมเค้ก และห้างสรรพสินค้า เขายังจะต้องตกอยู่ในอาการหวาดกลัว เกร็งๆ และระมัดระวังเกินเหตุ เหมือนอย่างทุกวันนี้หรือไม่

ถ้าดูสภาพการณ์ตอนนี้ของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ไม่ว่าท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะ บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุขจังหวัด และกลุ่มอสม. ที่เกี่ยวข้องต่างๆ จะตั้งใจทำงานด้วยความเข้มแข็ง รวดเร็ว อย่างเหน็ดเหนื่อยทุกวันก็ตาม ก็จะไม่ได้ผลอย่างที่ท่านผู้ตั้งใจทำงานและที่ชาวภูเก็ตคาดหวัง เพราะสิ่งที่เป็นตัวถ่วงที่เกิดจากการไร้ความสามารถและขาดความละเอียดของ ศบค. มีมากเหลือเกิน

เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันมันฟ้องอยู่ว่าการระบาดของโควิด 19 จะสายพันธุ์ไหนก็แล้วแต่ ได้สำแดงอาการที่น่ากลัวมาก กล่าวคือ ที่ภูเก็ตมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละ 200 กว่าคน ซึ่งทำให้เชื้อแพร่ระบาดไปได้ทั่วถึงบุคลากรด้านการท่องเที่ยว และแม้กระทั่งบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งนี้ ณ วันที่ 7 ก.ย. นี้ ตามที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต ได้รายงานว่า ประชากรจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 แล้ว คิดเป็น 92 % และฉีดครบ 2 เข็มแล้วถึง 81 % เกือบครบเป้าหมายที่วางไว้ว่าต้องฉีดครบทั้งสิ้นจำนวน 466,587 คน ตามทะเบียนราษฎร์ แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ปรากฏว่า บุคคลที่ผ่านการฉีดวัคซีนแล้ว ส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนที่ทางการจัดหาให้เป็น Sinovac ทั้งเข็ม 1 และเข็ม 2 ผ่านมา 6 เดือนกลับมีการระบาดกันมากขึ้นทั้งกับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว และที่ยังไม่ได้ฉีด ต้องเข้าโรงพยาบาล และบางคนก็ถึงกับเสียชีวิต

ทางการก็รู้ว่าขณะนี้ได้ทุ่มเทเวลาอย่างมากอีกครั้งในการนัดหมายประชาชนชาวภูเก็ตให้มาฉีด AstraZeneca เข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ลดน้อยไปแล้วจากการฉีด Sinovac ขณะเดียวกันก็มีผู้มาทำงานในจังหวัดภูเก็ตเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้มีทะเบียนราษฎร์อยู่ในภูเก็ต ได้ลงทะเบียนรอรับการฉีดวัคซีนอยู่ทั้งสิ้น ณ 7 ก.ย. 64 มีจำนวนถึง 474,625 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ของผู้ที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์ จำนวน 466,587 คน ตามที่กล่าวข้างต้น

ผมเองสุดที่จะสงสาร ทั้งฝ่ายปกครองและบุคลากรทางการแพทย์ของภูเก็ต ที่จริงได้ทำการฉีดวัคซีนไปให้ประชาชนมากแล้วน่าจะมีความสุขมากขึ้น แต่กลับต้องแบกความทุกข์ไว้เกินตัวในขณะนี้ เนื่องจากภาวะที่โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์กำลังชอกช้ำหนักขึ้น ผมอยากจะถามข้าราชการระดับอาวุโสที่เกี่ยวข้องในส่วนกลาง และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบว่า จะยังคงรายงานท่านนายกรัฐมนตรีว่า “ภูเก็ตกำลังเดินหน้าด้วยดีครับ นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากครับ ทุกอย่างดีครับผม” ไปอีกนานแค่ไหน

ผมอยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีโปรดเช็คตัวเลขโดยตรงกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดที่รู้เรื่องดีที่สุด ผมอยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีขอรายงานจากกรมการบินพลเรือนมาดูว่า สายการบินที่บินมาลงจังหวัดภูเก็ตในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งประกอบด้วย Thai Airways, Singapore Airlines, Etihad, Emirate, Qatar Airways, EL Al Israel , Jet Star, และ Cathay Pacific สายการบินเหล่านี้บินลงภูเก็ต สัปดาห์ละ 1 เที่ยว สัปดาห์ละ 2 เที่ยว สัปดาห์ละ 3 – 4 เที่ยวบ้าง และมีถึง 2 สาย คือ Singapore Airlines และ Qatar Airway ที่บินทุกวัน ควรเช็คจำนวนผู้โดยสารของแต่ละเที่ยวบินว่ามันโหรงเหรงขนาดไหน มีข่าวว่าบางเที่ยวบินไม่มีผู้โดยสารเลย


การที่จะแก้ไขภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ที่กำลังชอกช้ำหนักให้ดีขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้การเปิดประเทศเป็นจริงเป็นจังตามกำหนดการของท่านนายก ที่พอจะแนะนำท่านได้ในตอนนี้ คือ ขอให้ท่านเปลี่ยนคนที่รายงานท่านบ่อยๆว่า ดีครับท่าน เรียบร้อยครับผม เป็นคนหน้าตาใหม่เสียบ้าง