ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เผยภาพรวมดัชนี SET Index เดือน ก.ย. 64 ปิดที่ 1,605.68 จุด ลดลง 2.0% จากสิ้นเดือน ส.ค. รวม 9 เดือน หุ้นไทยปรับขึ้น 10.8% ด้านต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยเป็นเดือนที่สอง ส่งผลให้ 9 เดือน ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยลดลงเหลือ 79,172 ล้านบาท ได้ปัจจัยบวกจาก “ผ่อนคลายมาตรการควบคุม-บาทอ่อน-น้ำมันดิบพุ่ง”
วันที่ 7 ตุลาคม 2564 นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเดือน ก.ย.64 มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินปี 64 และปี 65 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวใกล้เคียงกับที่ กนง.คาดไว้ในการประชุมครั้งก่อน โดยปัจจัยบวกมาจากการที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง การกระจายวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เร็วกว่าคาด ขณะที่ปัจจัยลบเป็นเรื่องของสถานการณ์น้ำท่วม
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ราคาทองวันนี้ (24 เม.ย. 67) พุ่งขึ้น 250 บาท ทองรูปพรรณ 41,100 บาท
ส่วนปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับผู้ลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ได้แก่ ความกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นเป็น 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล รวมถึงเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ และเพดานหนี้ของสหรัฐ และการปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีนี้และระยะข้างหน้า หลังจากรัฐบาลจีนใช้มาตรการควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยี อีกทั้งเรื่องของวิกฤตพลังงานขาดแคลนและความวิตกกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับลดลง อย่างไรก็ตามบริษัทจดทะเบียนไทยยังคงมีความแข็งแกร่งและสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนหนุนการส่งออกไทย
ส่งผลให้ภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนก.ย. 64 SET Index ปิดที่ 1,605.68 จุด ลดลง 2.0% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า เมื่อพิจารณาช่วง 9 เดือนแรกปี 64 SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 10.8% ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 63 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มบริการ ขณะที่ในเดือน ก.ย. 64 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 100,827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.50% จากเดือนเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ 9 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 96,463 ล้านบาทต่อวัน
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ตั้งแต่เดือน ส.ค. 64 โดยในเดือน ก.ย. 64 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 10,803 ล้านบาท ทำให้ใน 9 เดือนแรกของปี 64 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยลดลงเหลือ 79,172 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ปรับลดลง 263,148 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนในประเทศมีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่อง 105,735 ล้านบาท
ในขณะที่เดือน ก.ย.64 มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 2 บริษัท และใน mai 2 บริษัท โดยใน 9 เดือนแรกของปี 64 มีไอพีโอ (IPO) เข้ามาทั้งสิ้น 3,329 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง ในเดือนนี้ SET ยังคงมูลค่าระดมทุนไอพีโอ (IPO) สูงที่สุดอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ใน ASEAN โดยมีสัดส่วนมาจาก OR หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และ TIDLOR หรือ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)
ด้าน Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 18.9 เท่า และ 19.8 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.9 เท่า และ 17.8 เท่าตามลำดับ อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนก.ย.64 อยู่ที่ระดับ 2.74% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.47%
ส่วนภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ในเดือนก.ย. 64 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 679,223 สัญญา เพิ่มขึ้น 43.6% จากเดือนก่อน และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 64 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 550,194 สัญญา เพิ่มขึ้น 18.0% ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures, Gold online futures และ USD Futures เป็นสำคัญ
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4/64 ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันเริ่มเห็นฟื้นตัวดีขึ้นแล้วทั้งในและต่างประเทศ โดยที่ยังคงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีจุดแข็งและมีความน่าสนใจหลายจุด ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวกับภาคการส่งออกที่มีสินค้าหลากหลายรวมถึงความสามารถในขยายกิจการไปสู่ต่างประเทศ
ขณะที่จุดแข็งตลาดหุ้นไทยที่รอการฟื้นตัวอย่างเช่น ธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยว บริการ และอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการกระจายวัคซีนที่เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นแนวโน้มของการฟื้นตัวในธุรกิจดังกล่าวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น พร้อมทั้งยังมีจุดแข็งใหม่อย่างการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพมากขึ้น รวมถึงช่วงที่ผ่านมามีการลงทุนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไปค่อนข้างมากแล้ว จึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจอยู่ซึ่งจุดแข็งต่าง ๆ จะค่อย ๆ ฟื้นตัวเรื่อย ๆ หลังสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายลง