ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “MAKRO” ขายหุ้นพีโอ 2,270 ล้านหุ้น จ่อขึ้น XB 22 พ.ย.นี้

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “MAKRO” หรือ บมจ.สยามแม็คโคร และกลุ่มโลตัสส์ ชูศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย เตรียมขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน (Public Offering หรือ PO) จำนวนไม่เกิน 2,270 ล้านหุ้น  พร้อมขึ้นเครื่องหมาย XB วันแรกวันที่ 22 พ.ย.นี้

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564  นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร (ธุรกิจค้าส่ง) เปิดเผยว่า หลังจากที่ MAKRO รับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ยกระดับสู่การเป็นผู้ประกอบการชั้นนำด้านธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ MAKRO มีธุรกิจแบบครบวงจร ครอบคลุมธุรกิจค้าส่งแบบ B2B  หรือ การค้ากับผู้ประกอบการและธุรกิจค้าปลีกแบบ B2C  หรือการค้ากับผู้บริโภคและธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย

ช่วยเพิ่มโอกาสและศักยภาพในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาญของ MAKRO และกลุ่มโลตัสส์ขยายธุรกิจเพื่อสนับสนุน SMEs ผู้ผลิตสินค้ารายย่อยของไทยผ่าน “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” เพื่อนำเสนอสินค้าไทยที่มีคุณภาพสู่ผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชีย และสร้างการยอมรับสู่ระดับสากล

ทั้งนี้ ณ 30 ก.ย. 64 MAKRO มีศูนย์จำหน่ายสินค้ารวม 145 สาขาประกอบด้วย สาขาในไทย 138 สาขา และต่างประเทศ 7 สาขา ได้แก่ กัมพูชา อินเดีย (ภายใต้แบรนด์ “LOTS Wholesale Solutions”) จีน และเมียนมา และมีการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์ Makroclick.com Makro Application และ Makro Line Official Account

ส่วนกลุ่มโลตัสส์ ณ  30 ก.ย. 64 มีร้านค้ารวม 2,164 แห่งทั่วประเทศไทย ประกอบด้วย ร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 222 แห่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต 192 แห่ง และมินิซูเปอร์มาร์เก็ต 1,750 แห่ง

อีกทั้งกลุ่มโลตัสส์ยังเป็นผู้นำธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้าในไทยเมื่อพิจารณาจากศูนย์การค้าที่มีการบริหารพื้นที่เช่า 199 แห่ง มีพื้นที่รวมประมาณ 720,000 ตารางเมตร (ไม่รวมศูนย์การค้าที่ลงทุนโดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท (LPF) รวม 23 แห่ง)

นอกจากนี้ กลุ่มโลตัสส์ยังเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้าในประเทศมาเลเซียที่ดำเนินธุรกิจผ่าน Lotus’s Malaysia ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดย ณ 30 ก.ย. 64 มีร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 46 แห่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต 16 แห่ง และบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า 57 แห่ง คิดเป็นพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวมประมาณ 296,000 ตร.ม. มีอัตราเช่าพื้นที่ร้อยละ 92

บริษัทมั่นใจว่าจากการรับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์จะเกิดการสร้างมูลค่าจากการเสริมศักยภาพซึ่งกันและกัน (synergy)  ช่วยลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนในระบบหน่วยงานสนับสนุน (Back Office) โดยจะร่วมมือกันพัฒนาร้านค้าและช่องทางจำหน่ายสินค้าที่ครบครัน (omnichannel) ให้ครอบคลุมหลากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และอาเซียนที่ยังมีอัตราการเข้าถึงร้านค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ในระดับต่ำ เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) อินเดีย เป็นต้น

ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์ม O2O ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (offline and online) ในกลุ่มสินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภค และความสามารถที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันในการจัดหาสินค้าเพื่อตอบสนองผู้บริโภคและสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเลือกซื้อสินค้า โดยจะใช้แพลตฟอร์มทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในไทย ต่อยอดสร้างแพลตฟอร์มค้าส่งและค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายรูปแบบในทวีปเอเชีย โดยเน้นภูมิภาคเอเชียใต้และอาเซียน

ส่วนผลการดำเนินงานตามข้อมูลทางการเงินรวมเสมือนงวด 9 เดือนแรกปี 2564 ซึ่งรวมงบการเงินในอดีตของกลุ่มโลตัสส์หลังปรับปรุงรายการเกี่ยวกับการซื้อขายธุรกิจเทสโก้และธุรกรรมการจัดหาเงิน รวมถึงปรับปรุงรายการที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมด การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้กับบุคคลในวงจำกัด และธุรกรรมการรีไฟแนนซ์

โดยบริษัทมีรายได้รวม 319,563 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5,344 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2563 MAKRO มีรายได้รวม 218,760 ล้านบาท และกำไรอยู่ที่ 6,524 ล้านบาท ขณะที่ บจ.ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นในกิจการโลตัสส์ในไทยและมาเลเซีย มีรายได้รวมเสมือน 211,107 ล้านบาท และกำไรรวมเสมือน 1,514 ล้านบาท ซึ่งกล่าวได้ว่าหลังจากการรับโอนกิจการ MAKRO จะกลายเป็นบริษัท ที่มีรายได้รวมถึง 429,867 ล้านบาท

นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายกล่าวว่า หลังจาก MAKRO ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิมแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering หรือ PO) จำนวนไม่เกิน 2,270,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อย

ซึ่งการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ จะทำให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วตามเกณฑ์ขั้นต่ำของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นของบริษัท

อีกทั้งส่งผลให้หุ้นของบริษัทเป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบันทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีโอกาสได้รับเลือกเข้าสู่การคำนวณในดัชนีที่สำคัญต่าง ๆ โดย MAKRO จะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงนำไปชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงินบางส่วน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการต่อไป

ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นสามัญดังกล่าวแก่ผู้จองซื้อรายย่อย จะจัดสรรหุ้นด้วยวิธี Small Lot First ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด (SETTRADE) โดยจองซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายหุ้น (Selling Agents) 3 ราย ได้แก่

(1) แอปพลิเคชั่น SCB Easy

(2) แอปพลิเคชั่น Bangkok Bank Mobile Banking

(3) แอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet

โดยบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที โดย MAKRO จะแจ้งช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นให้ทราบ หลังจากได้รับอนุมัติแบบคำขอเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว

ด้านนายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายกล่าวว่า สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO  หรือ CPALL และ CPF ที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นบางส่วนจากหุ้นสามัญของบริษัททั้งหมดที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering หรือ PO) ได้กำหนดให้วันที่ 22 พ.ย. 64 เป็นวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XB วันแรก

กล่าวคือ ผู้ที่ซื้อหุ้นสามัญของ MAKRO และ CPALL และ CPF ในวันดังกล่าวข้างต้นเป็นต้นไป จะไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญ MAKRO ที่เสนอขายในครั้งนี้ และวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้จะเป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเดิม (Record Date) ของ MAKRO CPALL และ CPF ที่จะได้รับการจัดสรรหุ้น ซึ่งมีอัตราส่วนการใช้สิทธิ (Ratio) จองซื้อหุ้นสามัญ MAKRO ที่มีการกำหนดไว้ดังนี้

(1) ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO ในอัตราส่วน 10 หุ้นสามัญของ MAKRO ต่อ 1 หุ้นสามัญของ MAKRO ที่เสนอขาย

(2) ผู้ถือหุ้นเดิมของ CPALL ในอัตราส่วน 15 หุ้นสามัญของ CPALL ต่อ 1 หุ้นสามัญของ MAKRO ที่เสนอขาย

(3) ผู้ถือหุ้นเดิมของ CPF ในอัตราส่วน 70 หุ้นสามัญของ CPF ต่อ 1 หุ้นสามัญของ MAKRO ที่เสนอขาย


ส่วนผู้ถือหุ้นเดิมที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญ MAKRO สามารถจองซื้อผ่านตัวแทนรับจองซื้อหุ้น (Subscription Agents) 2 ราย ได้แก่ การจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น SCB Easy และแอปพลิเคชั่น Bangkok Bank Mobile Banking หรือในกรณีที่ไม่สะดวกจองซื้อผ่านช่องแอปพลิเคชั่นดังกล่าวข้างต้น ผู้ถือหุ้นเดิมสามารถจองซื้อได้ที่สาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ ทุกสาขาทั่วประเทศไทย