HL เคาะราคาไอพีโอหุ้นละ 9.80 บาท จองซื้อ 25-26 และ 29 พ.ย. นี้

บมจ. เฮลท์ลีด (HL) เสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 72 ล้านหุ้น  เคาะราคาขายไอพีโอหุ้นละ 9.80 บาท พร้อมชูจุดแข็งธุรกิจร้านขายยา และนวัตกรรมใหม่ที่สามารถทำกำไรสูง และฐานะการเงินแข็งแกร่ง โชว์ผลงาน 9 เดือนปี 64  กำไรสุทธิพุ่ง 48.85% ฟาเดินหน้าขยายสาขาใหม่ปีละ 4-5 แห่ง   กำหนดจองซื้อวันที่ 25-26 และ 29 พ.ย. 64 และเตรียมเข้าเทรด mai  3 ธ.ค.นี้  ในหมวดธุรกิจบริการ                   

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL เปิดเผยว่า บริษัทฯได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่่วไป (IPO) จำนวน 72 ล้านหุ้น  มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท  ในราคาหุ้นละ 9.80 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 37.57 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ

โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 25-26 และ 29 พฤศจิกายน 2564 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในวันที่ 3 ธันวาคม 2564 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “HL” ในหมวดธุรกิจบริการ

พร้อมกันนี้มีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด  บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  บริษัทหลักทรัพย์  ทรีนีตี้ จำกัด  บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)  บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จํากัด (มหาชน)   และ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์

นายสมภพ กล่าวต่อว่า การกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 9.80 บาท/หุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน   HL ถือเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมาก เนื่องจากเป็นร้านขายยาค้าปลีกในรูปแบบ Chain Drug Store รายแรกที่มีความพร้อมสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น มีความสามารถในการทำกำไร และฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงถึง 22%

ขณะที่ยอดขายเติบโตทุกปี  ปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุนระดับ 1.6 เท่า ส่วนมากเป็นหนี้ที่ไม่มีภาระดอกเบี้ย ทำให้มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง และเมื่อเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว จะทำให้มีแหล่งเงินทุนซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะการต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ทำให้ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะยาว ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั้งที่เป็นประเภทสถาบัน และประชาชนทั่วไปได้เป็นอย่างดี

ด้าน ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/64 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.82% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 11.13 ล้านบาท  ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 355.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.08% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 255.95  ล้านบาท

ส่วนงวด 9 เดือนของปี 2564 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 57.53  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.85% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 38.65  ล้านบาท  ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 912.74  ล้านบาท เพิ่มขึ้น14.57% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 796.67 ล้านบาท

ภก. ธัชพล ชลวัฒนสกุล

ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น  เนื่องจากมียอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง  ยอดขายต่อสาขาเดิมมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ  รวมทั้งแนวโน้มการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญมากขึ้น ตลอดจนเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมียอดขายที่เติบโตมากขึ้นอีกด้ว

ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้มีอำนาจต่อรองกับ Supplier มากขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น

ภก.ธัชพล  กล่าวด้วยว่า การเข้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของ HL ได้อีกมาก เพราะทำให้มีแหล่งทุนเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาได้ต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคต


โดยบริษัทฯตั้งเป้าที่จะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่งในพื้นที่ของกทม.เป็นหลัก จากนั้นก็จะกระจายให้ครอบคลุมไปทั่วเขตปริมณฑลตามหัวเมืองที่สำคัญ  ส่วนใหญ่ขนาดพื้นที่ต่อสาขาอยู่ที่ประมาณ 80-150 ตารางเมตร และเมื่อมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 26 สาขา ก็จะผลักดันยอดขายเติบโต ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น