บลจ.กรุงศรี มองภาพเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ชูธีมลงทุนต่างประเทศมาแรง

วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบกับธีมการลงทุนอย่างไรบ้าง ?
ภาพจาก pixabay

บลจ.กรุงศรี มองภาพรวมเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวในปี 2565  ชี้กลุ่มตลาดเกิดใหม่จะทยอยปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในเอเซีย   แต่ตลาดอาจมีความผันผวนมากขึ้น  ชูธีมการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ “Clean energy -ESG – หุ้นจีน”  แนะจัดพอร์ตลงทุนหุ้นนอก 48% ตราสารหนี้ 35% หุ้นไทย 16.5%  

วันที่ 23 มกราคม 2565 นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2565 มีแนวโนมฟื้นตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ด้านความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อาจมีน้อยลงจากอัตราการฉีดวัคซีนทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การพัฒนาวัคซีนและยารักษาโควิด-19 ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่อาจไม่เท่ากัน

คาดว่าเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะทยอยปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะในเอเซียอย่างประเทศจีน  เนื่องจากแนวโน้มการออกมาตรการควบคุมอุตสาหกรรมของทางการจีนจะมีน้อยลง และรัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณว่าจะกลับมาสนับสนุนสภาพคล่องให้กับเศรษฐกิจอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ตลาดโลกอาจมีความผันผวนมากขึ้น โดยปัจจัยที่ต้องจับตามองคืออัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น และการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่จะมีความตึงตัวมากขึ้น นำโดยประเทศสหรัฐที่เตรียมยกเลิกโครงการ QE ในเดือนมีนาคมเพื่อเตรียมขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในลำดับถัดไป ตลาดมองว่าเฟดอาจมีการขึ้นนโยบายการเงินได้ถึง 4 ครั้งในปี 2565 โดยอาจจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป

โดยในภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้นโลกนั้น บลจ.กรุงศรี มีมุมมองว่าความผันผวนของตลาดหุ้นอาจมีมากขึ้น  ตามแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของทางธนาคารกลางทั่วโลก ขณะที่การฟื้นตัวของแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกัน โดยเราอาจเห็นกลุ่มหุ้นที่มีราคาสูงอย่างกลุ่มเทคโนโลยีถูกกดดัน ในขณะที่ตลาดที่เป็น laggards ทยอยฟื้นตัวโดยเฉพาะในตลาดเอเซีย เช่น ญี่ปุ่น และจีน ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดมีความเสี่ยงมากขึ้นการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม defensive จะช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนได้

สำหรับธีมการลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่

  • การลงทุนในกลุ่ม Clean energy เนื่องจากปัจจุบันนโยบายเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน โดยทั้งหมดได้ตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้สำเร็จ และคาดว่าจะเห็นนโยบายสนับสนุนด้าน Clean energy ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
  • การลงทุนในธีม ESG ก็ได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักลงทุน อีกทั้งธีมการลงทุนในส่วนของ cyber securities ที่มีความจำเป็นมากขึ้นในปัจจุบันหลังจากเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นก็เป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจเช่นกัน
  • การลงทุนในตลาดจีน ก็กลับมาน่าสนใจอีกครั้งหลังท่าทีของรัฐบาลจีนที่มีต่อการออกกฎหมายควบคุมในหลายอุตสาหกรรมเริ่มลดลง โดยทางธนาคารกลางจีนได้กลับมาให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนสภาพคล่องให้กับตลาดอีกครั้ง นอกจากนั้นการลงทุนในกลุ่มตลาดที่เป็น laggards อย่างตลาดญี่ปุ่นและตลาดเอเซียก็ยังคงมีความน่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไปและมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

“ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีในปี 2565 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และจากอัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มสูงขึ้นจนสามารถกลับมาเปิดเศรษฐกิจได้เป็นปกติ โดยภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะทยอยเริ่มกลับมาหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้มากขึ้น ส่วนการส่งออกจะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ชะลอลงเนื่องจากผลของฐานต่ำหมดไป ในขณะที่ภาคบริการจะเติบโตในอัตราสูงจากผลของฐานต่ำในปี 2564 ด้านการบริโภคคาดว่าจะกลับมาขยายตัวดีขึ้นแต่อาจไม่ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว”นายศิระ กล่าว

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของไทยมีแนวโน้มผันผวนตามตัวเลขเศรษฐกิจและกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งนี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปี 2565 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นจะทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ส่วนอัตราผลตอบแทนระยะกลางถึงยาวอาจมีความผันผวนตามตลาดต่างประเทศที่คาดว่าจะถูกกดดันจากการปรับนโยบายการเงินของสหรัฐเป็นหลัก

ทั้งนี้ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น บลจ.กรุงศรี มีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทยในปี 2565 โดยคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ จะสามารถเติบโตได้ในอัตราร้อยละ 11.5 จากการกลับมาเปิดประเทศ โดยคาดว่าการลงทุนในหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนในอัตราร้อยละ 12.5 อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามเรื่องโอไมครอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหรือไม่ รวมถึงนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดมากเพียงใด

สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2565 นั้นนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ได่แก่

  • สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำจัดสรรเงินลงทุนในตราสารหนี้ 35% หุ้นไทย 16.5% และหุ้นต่างประเทศ 48.5% ตัวอย่างกองทุนตราสารหนี้แนะนำ เช่น กองทุน KFSMART กองทุน KFAFIX-A กองทุนหุ้นไทยแนะนำ เช่น กองทุน KFTSTAR เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงโดยกองทุนมีการถือครองหลักทรัพย์กว่า 50 หลักทรัพย์
  • สำหรับผู้ที่รับความผันผวนได้สูง เหมาะกับกองทุน  KFDYNAMIC  โดยกองทุนถือครองหลักทรัพย์ประมาณ 20 -25 หลักทรัพย์ และกองทุนหุ้นต่างประเทศแนะนำ เช่น กองทุน KFCLIMA กองทุน KFESG ที่มาในธีม Climate Change และ ESG ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐและความร่วมมือจากภาคเอกชนทั่วโลก