คลังชี้ 65% ของหนี้ครัวเรือนไทย เป็นการสะสมทรัพย์สิน ก่อให้เกิดรายได้

เศรษฐกิจ
Photo by Jack TAYLOR / AFP

คลังเผยหนี้ครัวเรือนไทยยังอยู่ระดับใกล้เคียงกับปีก่อน แต่จีดีพีขยายตัวไม่มาก จึงเป็นตัวหารทำให้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ในระดับสูง ชี้ส่วนใหญ่ 65% เป็นการสะสมทรัพย์สิน ทำให้เกิดรายได้ ปลื้ม! จีดีพีปี’64 โต 1.6% เพราะควบคุมโควิดระบาดได้ดี-การบริโภคกลับมา

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรณีที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ มีความเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหาหนี้ครัวเรือนและจะมาหารือกับ สศค.นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานงานจากสภาพัฒน์เพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงนั้น จะต้องพิจารณาเรื่องของจีดีพีที่ขยายตัวได้ไม่มาก ซึ่งจะเป็นตัวหารที่ทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ในระดับสูงด้วย ทั้งที่ระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ๆ ด้วย และเมื่อพิจารณาถึงความมั่นคงของสถาบันการเงิน หนี้เสียก็ยังอยู่ในระดับทรงตัว โดยอยู่ที่ 2.8-2.9% เท่านั้น

พร้อมกันนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2564 ระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 14.35 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 89.3% ของจีดีพี ซึ่งขยายตัวเพียงเล็กน้อยหรือ 4.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ฉะนั้น จะเห็นว่าอัตราการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนไม่ได้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากไส้ในของหนี้ครัวเรือนจะพบว่า หนี้ครัวเรือนของไทยมีความต่างจากหนี้ครัวเรือนจากประเทศอื่น โดยการระดมทุนของหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่นำมาเพื่อการประกอบอาชีพและก่อให้เกิดรายได้ค่อนข้างมากหรือมากกว่า 65% ของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

“แต่ถามว่า หนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วงหรือไม่นั้น โดยหลักการ คือ ใครที่มีหนี้ ก็น่าเป็นห่วงทั้งนั้น เพียงแต่ถ้าไปดูไส้ในก็เป็นหนี้ที่ใช้มาเพื่อก่อให้เกิดรายได้ แต่ส่วนหนี้ที่ไม่มากเท่าไหร่ก็คือหนี้เพื่อการบริโภค ฉะนั้น จะทำอย่างไรให้เขามีรายได้เพื่อชำระหนี้ คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สภาพัฒน์เป็นห่วงมากกว่า”

ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นหนี้ครัวเรือนที่ทำให้เกิดความมั่งคั่ง โดยนำไปซื้อสินทรัพย์และประกอบอาชีพเพื่อหารายได้ กรณีนำไปซื้อสินทรัพย์มีสัดส่วน 34.5% นำไปซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ซึ่งประเมินว่า การซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์นี้ เพื่อนำไปประกอบอาชีพ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 12.4% นำไปประกอบอาชีพ 20% ฉะนั้น คิดรวม ๆ แล้ว หนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นนำไปประกอบอาชีพมากกว่า 65%

นายพรชัยกล่าวว่า กรณีที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทยปี 2564 ขยายตัวที่ 1.6% นั้น เป็นเพราะได้รับอานิสงส์จากไตรมาส 4 ของปี 2564 ที่ภาคการบริโภคของภาคเอกชนกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้นจากที่มองว่า จะไม่ขยายตัวได้มาก ขณะเดียวกันการเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐก็ดีขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ ฉะนั้นไตรมาส 4 จึงเป็นไตรมาสที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมิน โดยขยายตัวได้ถึง 1.9%

“ในส่วนนี้คงสะท้อนให้เห็นถึงการรับมือโควิด-19 ได้อย่างชัดเจน หลังจากที่รัฐบาลมีแผนในการป้องกันและรักษา รวมถึงการใช้เงินกู้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลภาคส่วนต่าง ๆ และได้ส่งผลให้การขยายตัวเศรษฐกิจดีกว่าที่คาดการณ์ โดยสภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง ก็คาดการณ์จะขยายตัวได้เพียง 1.2% และแบงก์ชาติก็คาดขยายตัวได้ 1% กว่า ๆ เท่านั้น”