“ภากร” กางแผนตลาดทุนโฉมใหม่ ผลักดันเศรษฐกิจไทย

“ภากร” ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย กางแผนตลาดทุนไทยโฉมใหม่ พร้อมผลักดันกระตุ้นเศรษฐกิจไทย พร้อมเผยปัจจัยเสี่ยงกดดันสภาพคล่องตลาดหุ้นปี’65

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยในงานสัมมนา “พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤตโควิด-19” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ในช่วงเสวนาเรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจ-ธุรกิจไทย ไปทางไหน ? หลังวิกฤตโควิด-19” ว่า ปี 2564 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวดีมาก มีการระดมทุน 4.5 แสนล้านล้านบาท เป็นระดับ 7 ในภูมิภาคเอเชีย และระดับ 18 ของโลก ซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างรวดเร็วของตลาดหุ้นไทย โดยมีสภาพคล่องขึ้นมาเกือบปีละ 3 พันล้านเหรียญ กระโดดขึ้นมาจากเดิมกว่า 30%

ในปี’64 มีนักลงทุนรายย่อยเพิ่มมากขึ้น ยอดเปิดบัญชีใหม่เกิดขึ้นกว่า 1.5 ล้านบัญชี จากปีก่อนหน้าที่มีบัญชีใหม่ 7 แสนบัญชี แตกต่างจากในอดีตที่มีแค่ปีละ 3-4 แสนบัญชีเท่านั้น

รวมถึงตลาดหุ้นไทยเองยังมีกฎเกณฑ์การระดมทุนที่เป็น New S-Curve ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุนรองรับบริษัทต่างประเทศ ธุรกิจสตาร์ตอัพและเอสเอ็มอี เพื่อเข้าไปสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยได้มากขึ้น

นอกจากนี้เปิดให้ลงทุนต่างประเทศด้วยสกุลเงินบาท ลงทุนกองทุนรวม และมีระบบโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่ต้องลงทุนซับซ้อน เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน แต่เพิ่มประสิทธิภาพ รวมไปถึงยังคำนึงถึงความยั่งยืนอีกด้วย

Advertisment

นายภากรกล่าวอีกว่า โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของตลาดหลักทรัพย์ไทยคือ ธุรกิจต่างประเทศในแถบอาเซียนจะเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น จากการเปิดช่องกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโฮลดิ้งคอมปะนี ธุรกิจครอบครัว กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) รวมไปถึงมีการเตรียมการสนับสนุนบริษัทเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพ สามารถหาแหล่งระดมทุนได้ง่ายขึ้น

“ในอดีตตลาดทุนไทยจะมีหุ้น, ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ดั้งเดิม (traditional asset) แต่ในอนาคตจะล้อไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชอบลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset) รวมถึงคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดทุนไทยจะต้องปรับตัวไปแน่นอน”

ประกอบการการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริการเปิดบัญชี ซึ่งปี’64 ผลจากยอดเปิดบัญชีหุ้นใหม่ที่สูงกว่า 1.5 ล้านบัญชี ส่วนหนึ่งมาจาก e-Open Account ที่ไม่ต้องเจอหน้า กดยืนยันตัวตน ทำบททดสอบความรู้การลงทุนได้บนออนไลน์ นอกจากนี้การประชุมผู้ถือหุ้นเอง สามารถจัดผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้

และแน่นอนว่าอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญมากคือ ความยั่งยืนและธรรมาภิบาล ซึ่งในเรื่องดังกล่าว ปัจจุบันพบว่าบริษัทไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน

Advertisment

ผู้จัดการตลาดหุ้นไทยกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อตลาดทุนไทยในปี 2565 ที่นักลงทุนต้องติตตาม คงเป็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่กดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่เร่งตัวสูง และอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องทั่วโลกลดลง เป็นผลกระทบต่อตลาดทุนไทย

นอกจากนี้ผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตราบใดที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เศรษฐกิจครึ่งหนึ่งของประเทศไทยจะยังไม่กลับมา ซึ่งเห็นได้จากภาคการบริการ ที่คิดเป็นสัดส่วน 50% ของภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวได้เต็มที่

“เรื่องเหล่านี้คือความเสี่ยงสำคัญที่จะกระทบตลาดหุ้นไทย” ผู้จัดการตลาดหุ้นไทยกล่าว