ธอส. พร้อมตรึงดอกเบี้ยถึงสิ้นปี’65 ปลื้ม! ไตรมาสแรกปล่อยกู้พุ่ง 6.2 หมื่นล้าน

ธอส.

ธอส.รับลูก รมว.คลัง พร้อมตรึงดอกเบี้ยบ้านนานถึงสิ้นปี’65 ดูแลลูกค้าช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ปลื้ม! ไตรมาสแรกปล่อยสินเชื่อพุ่ง 6.2 หมื่นล้านบาท คาดสิ้นปีทำได้สูงกว่า 2.7 แสนล้านบาท ชี้ช่วงนี้อสังหาฯเป็นโอกาสของคนมีความพร้อม ก่อน กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย

วันที่ 31 มีนาคม 2565 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อของ ธอส.ในไตรมาส 1 ปล่อยใหม่ได้สูงถึง 6.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการปล่อยสินเชื่อในช่วงดังกล่าวจะเป็นช่วงที่ปล่อยได้ต่ำที่สุด ฉะนั้น จากนี้ไป หากคำนวณ 4 ไตรมาส ก็น่าจะปล่อยได้ประมาณ 2.4 แสนล้านบาท แต่ก็คาดว่าในปีนี้ ธอส.จะปล่อยได้มากกว่า 2.7 แสนล้านบาท

“เป้าการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว เป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการอสังหาฯ และเป็นดัชนีชี้วัด การฟื้นตัวอสังหาฯว่า ถ้ามีการสร้างที่อยู่อาศัยจะขายใคร ซึ่งขายใครนั้น ตัวเลขสินเชื่อมันฟ้องอยู่แล้ว แต่ถามว่า ใครจะปล่อยสินเชื่อ ก็ ธอส.นี่แหละจะเป็นคนปล่อย”

ทั้งนี้ ภายในแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ภายใต้บริบทของประเทศ โดย กนง.ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และโดยนโยบายรัฐบาลผ่านมาทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ ธอส.ตรึงดอกเบี้ย ซึ่ง ธอส.ก็จะตรึงให้จนถึงสิ้นปี ดังนั้น จึงเรียนว่า ขณะนี้จึงเป็นภาวะที่ควรซื้ออสังหาฯ ถ้าท่านพร้อม

“สิ่งหนึ่งที่เป็นสัญญาณการฟื้นตัวของอสังหาฯ คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังคงตรึงไว้ที่ 0.5% แต่เราคาดว่า ราวไตรมาส 3 หรือ 4 กนง.จะปรับขึ้น ขณะที่ภาครัฐได้ส่งสัญญาณมาให้เรา คือ ตรึงดอกเบี้ย ซึ่งเราก็จะตรึงให้นานที่สุด”

อย่างไรก็ดี ในแง่อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มขาขึ้นนั้น แต่แพ็กเกจสินเชื่อของธนาคารนั้น เป็นแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้น จากนี้ไป 1-2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่แน่นอน และด้วยความเป็นแบงก์รัฐ เราจะตรึงอัตราดอกเบี้ยให้นานที่สุด

“จะเห็นได้ว่า ภาวะวิกฤตโควิดที่ผ่านมา แบงก์รัฐตรึงดอกเบี้ยทั้งหมดและพักชำระหนี้อีกหลายล้าน ฉะนั้น แบงก์รัฐคือคนที่ออกมาช่วยลูกค้าจริง ๆ ขณะเดียวกัน ภายใต้สัญญาณที่เห็น คือ วัคซีนที่เข้ามา บวกกับมาตรการรัฐบาลในการสนับสนุนส่งผลต่อความเชื่อมั่นและคนก็ปรับตัวให้อยู่ภายใต้โควิดแล้ว”

ขณะที่ตลาดสินเชื่อในขณะนี้ ถือเป็นตลาดของคนที่มีกำลังซื้อหรือไม่นั้น นายฉัตรชัยกล่าวว่า เป็นตลาดของคนที่มีความพร้อมมากกว่า เพราะคนที่มีรายได้น้อยที่มีผลกระทบทางด้านรายได้จากโควิดนั้น ทางธนาคารได้เข้าไปช่วยเหลือ โดยตรึงดอกเบี้ยให้แม้ว่าความสามารถในการชำระหนี้จะลดลง แต่เขายังได้สินเชื่อในวงเงินเท่าเดิม

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ธนาคารคุมไม่ได้ คือ ราคาของอสังหาฯ โดยภายใต้โควิดที่ผ่านมา มีโปรโมชั่นจำนวนมาก ซึ่งจากยอดปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่ปล่อยเฉลี่ยกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ได้สูบสต๊อกบ้านที่มีไปหมดแล้ว ดังนั้น นับจากนี้ไปจะมีบ้านสร้างใหม่ ซึ่งต้นทุนจะไม่เหมือนเดิม ดังนั้น ราคาอสังหาฯมีสิทธิปรับขึ้น แต่ว่าเราก็เข้าไปช่วยเรื่องของดอกเบี้ยและวงเงินสินเชื่อให้ แม้รายได้ผู้กู้จะลด