ในปี 2565 ภาคธุรกิจยังคงนิยมแห่ออกหุ้นกู้กันอย่างต่อเนื่อง แต่ผลพวงจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้ม “ขาขึ้น” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการออกหุ้นกู้ของบริษัทต่าง ๆ อย่างไรและหุ้นกู้ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่หรือไม่ ?
วันที่ 2 พฤษภาคม 2565 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 26 เมษายน 2565 ภาคธุรกิจไทยมีการออกหุ้นกู้รวมกันแล้ว 390,486 ล้านบาท หรือทั้งหมด 71 บริษัท ซึ่งการออกแต่ละครั้งต่างได้รับเสียงตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี หลังจากปี 2564 ที่ผ่านมา มีการออกหุ้นกู้ไปทั้งสิ้น 1,035,614 ล้านบาท รวม 147 บริษัท
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- ราคาทองวันนี้ (29 มี.ค. 67) พุ่งกระฉูด 600 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 39,050 บาท
- ยื่นภาษีปี 2567 หมดเขตเมื่อไหร่ ยื่นไม่ทันต้องทำอย่างไร
โดยปีนี้ ยังคงเห็นบริษัทขนาดใหญ่ และ กลุ่มบริษัทที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายแห่ง เสนอขายหุ้นกู้กันอย่างต่อเนื่องสำหรับบริษัทใหญ่ ๆ หรือกลุ่มบริษัท ที่ออกหุ้นกู้มากที่สุด 5 อันดับแรกในช่วงต้นปีที่ผ่านมานำโดย
- บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 35,000 ล้านบาท
- บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ที่ออกไปแล้ว 30,000 ล้านบาท
- บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ออกไปแล้ว 30,000 ล้านบาท
- บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ออกไปแล้ว 24,000 ล้านบาท
- บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 20,000 ล้านบาท
อัตราดอกเบี้ยจูงใจและช่องทางลงทุนหุ้นกู้ใหม่ ๆ
ทั้งนี้ หุ้นกู้ของแต่ละบริษัทก็มีความน่าสนใจแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในแง่แรงจูงใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย และที่น่าสนใจมากขึ้น ก็คือในปีนี้ หลายบริษัทก็ได้เพิ่มช่องทางการลงทุนใหม่ ๆ ให้แก่ผู้ลงทุน อย่างการขายหุ้นกู้ผ่านโมบายแบงกิ้งแอปพลิเคชั่นอย่าง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ขายหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชั่น SCB EASY
นอกจากนี้ก็ยังมี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่น แนล จำกัด (มหาชน) ที่ขายหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งต่างก็ได้รับกระแสตอบรับกันอย่างคึกคัก
แนวโน้มการออกหุ้นกู้ระยะต่อไป
ในช่วงถัดไปบริษัทต่าง ๆ ก็ได้มีการประกาศเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้กันไปแล้วหลายแห่ง อาทิ
- บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ที่เตรียมขายหุ้นกู้ 1 รุ่น อายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 3.10-3.25% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 6 เดือน ซึ่งจะเปิดจองผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง”
- บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่เตรียมขายหุ้นกู้ รุ่นอายุ 7 ปี ดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี และจ่ายทุก ๆ 6 เดือน
- บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เตรียมขายหุ้นกู้รุ่นอายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 3.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ระดมเงินลงทุนและให้ดอกเบี้ยสูง
โดย “ศิรินารถ อมรธรรม” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยฯ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า ในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.ตอนนี้ที่มียื่นขึ้นทะเบียนกับทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เกือบ ๆ 20 บริษัท ในเรตติ้งที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ AAA จนมาถึง Nonrated รวมมูลค่าตอนนี้บางบริษัทก็ระบุไว้แล้ว แต่รวมกันแล้วก็ราว ๆ 20,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ สมาคมคาดไว้ทั้งปีของปี 2565 นี้น่าจะแตะที่ระดับ 1 ล้านล้านบาทได้ ซึ่งปีที่แล้วมีมูลค่าการออกทั้งหมด 1.03 ล้านล้านบาท ก็คิดว่าไม่น่าจะห่างจากปีที่แล้วมากหรืออาจจะเกินด้วยซ้ำไป เพราะว่ามูลค่าครบกำหนดของปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ออกบางส่วนโดยประมาณ 60-70% ที่ออกเพื่อเป็นการ Roll-over คือทดแทนรุนเก่าที่หมดอายุแล้วบางบริษัทก็จะมีการอออกเพื่อไปชำระคืนสินเชื่อธนาคาร รวมถึงการลงทุนขยายกิจการ
ซึ่งปีนี้แนวโน้มเศรษฐกิจก็ขยายตัวดีกว่าปีนี้แล้ว แนวโน้มสถานการณ์โควิด-19 ก็ดูเหมือนจะคุมได้ และเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาฟื้น เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีความต้องการของบริษัทเอกชนเพื่อที่จะระดมทุน เพื่อขยายกิจการหรือลงทุนเพิ่มมากกว่าปีที่แล้ว ฉะนั้นโดยรวมทั้งปีคิดว่ามูลค่าการออกของปีนี้ไม่น่าจะน้อยไปกว่าปีที่แล้วหรืออาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นก็ชัดเจนเลยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ก็เริ่มประกาศแล้วว่าปีนี้จะเริ่มทำปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงลดการทำ QT เพราะฉะนั้นผลกระทบมันเริ่มเห็นแล้วว่ามีผลกระทบเกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อธนาคารกลางมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรรัฐบาลไทย ปรับตัวสูงขึ้นด้วย แต่ว่าแม็กนิจูดอาจจะไม่เท่ากัน ขนาดมันไม่เท่ากันแต่ในทิศทางเดียวกัน
อย่างของไทยเองรุ่น 5 ปี กับ 10 ปี โดยรุ่นอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นมาเกือบ ๆ 1% แล้ว หรือในรุ่นอายุ 5 ปีก็ใกล้เคียงกันคือขึ้นมาประมาณ 95 bps. ซึ่งเป็นรุ่นที่ภาคเอกชนส่วนใหญ่มักจะระดมทุนกัน เพราะฉะนั้นพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นมันก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการกู้ยืมหรือการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนมันก็เลี่ยงไม่ได้ที่ว่าเอกชนก็จะมีต้นทุนการกู้ยืมหรือมีคูปองอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วที่สูงขึ้นตามไปด้วยแทบทุกอันดับเครดิตเกือบ ๆ 60-90 bps. ใกล้เคียงกับการปรับขึ้นของอัตราพันธบัตรรัฐบาล
“ในแง่ของผู้ออกก็มีต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น แต่ในแง่ของนักลงทุนก็ถือว่าเป็นข่าวดี เป็นเรื่องที่ดีที่เขาจะมีหุ้นกู้รุ่นใหม่ ๆ ที่ออกมาแล้วให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่สำหรับนักลงทุนที่อาจจะมีถือแล้วค้างอยู่ยังไม่ครบกำหนด ตรงนั้นก็อาจจะมีการเสียโอกาสของการได้รับดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นหุ้นกู้รุ่นใหม่ ๆ ที่ออกมา อันนั้นก็อาจจะเป้นดารเสียโอกาสเฉย ๆ แต่อย่างน้อยถ้าบริษัทไม่ผิดนัดชำระ นักลงทุนถือจนครบกำหนดก็ต้องได้เงินต้นขึ้นแน่นอน” นางสาวศิรินารถ กล่าว
นับได้ว่า การลงทุนหุ้นกู้ ยังคงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ สำหรับผู้ลงทุนที่ไม่อยากเสี่ยงมากเกินไป