3 ธุรกิจโรงแรม “ERW-DUSIT-MINT” รายได้ฟื้น อานิสงส์เปิดประเทศ

นักท่องเที่ยว

โควิดคลี่คลาย-เปิดประเทศ หนุนธุรกิจโรงแรมไตรมาสแรกปี’65 ฟื้น “ERW-DUSIT-MINT” รายได้ขยับดีขึ้น-ขาดทุนสุทธิลดลง

วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆนี้ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถึงผลดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2565 ว่า บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงานเท่ากับ 638 ล้านบาท เติบโตสูงถึงร้อยละ 69 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด -19 ที่คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น การทยอยผ่อนปรนมาตรการเปิดประเทศ

สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อัตราการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้นสนับสนุนให้ความมั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของโรงแรมทุกกลุ่มโรงแรมทั้งในประเทศไทยและฟิลิปปินส์มีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นมากจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมประเทศไทยในตรมาส 1/2565 เท่ากับร้อยละ 46 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 30 และ ร้อยละ 42 ในไตรมาส 1/2564 และไตรมาส 4/2564 ตามลำดับ

โดยกลุ่มโรงแรม ฮ็อป อินน์ ประเทศไทย ยังคงเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเข้าพักสูงที่สุดจากทุกกลุ่มที่ร้อยละ 67 สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่รวดเร็วของโรงแรมกลุ่มนี้ รายได้จากการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น และการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนก่อนดอกเบี้ยภาษีเงินได้และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เท่ากับ 12 ล้านบาท และ ผลขาดทุนสุทธิจำนวน 313 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลขาดทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง 2 ไตรมาสติดกัน สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ชัดเจนมากขึ้นนับตั้งแต่ไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2565 หากไม่รวมรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ บริษัทมีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 และร้อยละ 26.4 จากไตรมาส 1 ปี 2564 และไตรมาส 4 ปี 2564 ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจากการทยอยฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมและการศึกษา

โดยรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 634 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโรงแรมในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของอัตราการเข้าพักและค่าห้องเฉลี่ยส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) โดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 73.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2564 รายได้จากธุรกิจโรงแรมลดลงเล็กน้อยร้อยละ 2.3 เป็นผลจากการลดลงของรายได้จากโรงแรมที่พัทยาและหัวหิน เนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์ โอมิครอนในช่วงต้นปี

ขณะที่รายได้จากโรงแรมที่ภูเก็ตเพิ่มขึ้นอย่างมากจากโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์ นอกจากนี้ รายได้รับจ้างบริหารโรงแรมในประเทศจีนลดลง เนื่องจากการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดซึ่งเป็นไปตามนโยบาย Zero Covid ของประเทศจีน อย่างไรก็ตาม RevPar โดยรวมยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี 2564 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากค่าห้องเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น

สำหรับธุรกิจการศึกษาฟื้นตัวดีอย่างน่าพอใจ โดยมีรายได้ 128 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.9 และร้อยละ 48.8 จากไตรมาส 1 ปี 2564 และไตรมาส 4 ปี 2564 ตามลำดับ สาเหตุหลักเนื่องจากวิทยาลัยดุสิตธานีกลับมาให้บริการตามปกติและมีจำนวนนักศึกษาเพิ่มขึ้นจากทั้งหลักสูตรปกติและหลักสูตรระยะสั้น

ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 1,129 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.8 จากไตรมาส 4 ปี 2564 จากธุรกิจหลักที่ทยอยฟื้นตัว บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 129 ล้านบาท ขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิ 341 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2564 และมี EBITDA 207 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2564 ที่มี EBITDA -36 ล้านบาท

หากเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมลดลงร้อยละ 13.9 และขาดทุนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 73 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการลดลงของกำไรจากขายเงินลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลดลงของกำไรจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินอื่น

ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำบริษัทจะมีผลขาดทุนสุทธิจากธุรกิจหลัก 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเทียบกับขาดทุนสุทธิหลัก 62 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากขาดทุนสุทธิหลัก 304 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2564

ฟากบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 20,701 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2565 ซึ่งเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอัตราร้อยละ 66 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหากไม่นับรวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งย้ายธุรกิจรับจ้างผลิตของไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ ไปอยู่ภายใต้การดำเนินงานของไมเนอร์ ฟู้ด

ทั้ง 3 หน่วยธุรกิจของบริษัทจะมีรายได้ที่เติบโตขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากการผ่อนคลายข้อจำกัดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในเกือบทุกภูมิภาคหลัก ส่งผลให้มีกิจกรรมการเดินทางที่สูงขึ้น จำนวนลูกค้าในร้านอาหารที่เพิ่มขึ้น และสภาพแวดล้อมการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกที่ฟื้นตัวขึ้น

โดยในไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และ ค่าเสื่อม (EBITDA) จากการดำเนินงานเติบโตมากกว่า 5 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่จำนวน 2,737 ล้านบาท โดยการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้

ประกอบกับฐานการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นของบริษัท ทั้งนี้ EBITDA จากการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกและเติบโตขึ้น ในขณะที่ EBITDA จากการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารและไลฟ์สไตล์ยังคงเป็นบวกในไตรมาส 1 ปี 2565

จากเหตุผลดังกล่าว ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานลดลงจาก 5,211 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2564 เป็นจำนวน 3,582 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2565 โดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของไมเนอร์ โฮเทลส์และผลกำไรที่พลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกของไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ ในขณะที่ไมเนอร์ ฟู้ดยังคงมีผลกำไรติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 7

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของผลกำไรของบริษัทจะแข็งแกร่งกว่านี้หากไม่รวมผลกระทบจากการปิดประเทศในประเทศจีน และส่วนขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการปรับมูลค่าเงินกู้ของโรงแรมในประเทศศรีลังกาท่ามกลางวิกฤตเศษฐกิจภายในประเทศ