สกุลเงินดิจิทัล : ที่มาและที่ไป

เงินดิจิทัล
คอลัมน์ : ร่วมด้วยช่วยคิด
ผู้เขียน : ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

การประชุมดาวอส หรือ World Economic Forum (WEF) ที่จัดขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นเวทีที่รวมเหล่าบุคคลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการเมือง ธุรกิจ สังคม ทั้งภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมหารือในหลากหลายประเด็นที่เป็นวาระสำคัญระดับโลก

ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี รวมไปถึงการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อนำไปสู่แนวทางร่วมกันในอนาคต ซึ่งเรื่อง “สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC)” เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาหารือในปีนี้ โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมขึ้นเวทีไปหารือในประเด็นดังกล่าว จึงอยากเชิญชวนทุกท่านมาทำความรู้จักสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางไปพร้อม ๆ กัน

ในอดีตการทำธุรกรรมทางการเงินส่วนใหญ่เป็นการใช้เงินที่จับต้องได้ (physical money) เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แบบที่เราใช้เหรียญหรือธนบัตรไปซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ การแลกเปลี่ยนในรูปแบบนี้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน แต่ยังมีข้อเสียหากต้องแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีมูลค่าสูง ต้องใช้เงินสดจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดความไม่สะดวกในการซื้อขาย และยังมีต้นทุนการชำระเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เหตุนี้จึงมีการขยับจากสังคมเงินสดสู่สังคมไร้เงินสด ด้วยการพัฒนารูปแบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ digital payment เช่น การโอนเงินหรือชำระเงินผ่าน internet/mobile banking การใช้บัตรเครดิต/เดบิต และการใช้ e-Wallet เป็นต้น digital payment ให้ความสะดวกรวดเร็วในการจ่ายและรับเงิน ทำได้ง่าย ทุกที่ ทุกเวลา สามารถลดต้นทุนในการชำระเงิน และมีความปลอดภัย อย่างไรก็ดี ยังต้องอาศัยสถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเป็นตัวกลางในการควบคุมดูแลการทำธุรกรรมทางการเงินเหล่านี้

เนื่องจาก digital payment ยังต้องอาศัยตัวกลางอย่างสถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการทางการเงิน หากเกิดปัญหากับระบบของตัวกลาง ธุรกรรมทางการเงินต้องหยุดชะงักลง อาจส่งผลเป็นวงกว้างต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงหากไม่ต้องมีตัวกลางแล้วนั้น ต้นทุนในการชำระเงินย่อมสามารถลดลงไปได้อีกด้วย

ด้วยข้อจำกัดที่ยังคงมีอยู่ทำให้เกิดการพัฒนา “สกุลเงินดิจิทัล” หรือ digital currency เป็นการทำธุรกรรมผ่านระบบโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางทางการเงิน ซึ่งมีข้อดีที่เป็นจุดเด่นเพิ่มเติมคือ ความสามารถในการเขียนเงื่อนไขลงบนเงิน (programmable money) เช่น การกำหนดเงื่อนไขผู้รับเงิน โดยสามารถใส่เงื่อนไขสัญญาใน smart contract ที่ถูกเขียนและเก็บไว้ในระบบ และจะดำเนินการได้เองอัตโนมัติ จึงลดกระบวนการที่ซับซ้อนของการทำธุรกรรม

พร้อมทั้งก่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้อีกด้วย ความสามารถดังกล่าวเอื้อให้เกิดการต่อยอดของเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ที่จะตอบรับกับบริบทของโลกในอนาคตได้ด้วย

สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง CBDC แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ (1) wholesale CBDC สำหรับการทำธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงินด้วยกัน โดยใช้เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (distributed ledger technology) เอื้อให้สมาชิกในเครือข่ายสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล และทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง

และ (2) retail CBDC สำหรับการทำธุรกรรมรายย่อยของภาคธุรกิจและประชาชน ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางได้ กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ตามกระแสความนิยมของเงินดิจิทัลในปัจจุบัน เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางทั้งสองรูปได้รับความสนใจจากธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเล็งเห็นถึงโอกาสการสร้างช่องทางการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน

อย่างไรก็ดี ประเทศส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนศึกษา ทดสอบ และพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการนำ CBDC ไปใช้ ซึ่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีแผนที่จะนำร่องทดลองการใช้ retail CBDC สำหรับประชาชนในวงจำกัด ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้

หากตัดคำว่าดิจิทัลออกแล้ว คำว่าสกุลเงินดิจิทัลจะเหลือเพียงคำว่าสกุลเงินนั่นเอง เราใช้เงินสดบนฐานความเชื่อว่าธนบัตรหรือเหรียญสามารถเป็นสื่อกลางในการชำระหนี้ได้ตามกฎหมายและรักษามูลค่าไม่ให้ผันผวนจนทำให้การซื้อขายสินค้าและบริการได้รับผลกระทบฉันใด เราก็คงจะอุ่นใจกับสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการอย่างเป็นสากลฉันนั้น

สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ซึ่งกำลังอยู่บนหนทางการพัฒนาให้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในวงกว้างจึงเป็นเส้นทางสายหลักที่เปิดกว้างให้มีการต่อยอดด้านนวัตกรรมดิจิทัลควบคู่ไปกับการดูแลความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยเอกชนซึ่งไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง (blank coin) อาจทำให้ผู้ถือครองต้องหวาดหวั่นกับมูลค่าที่ผันผวนขึ้นสูงและลงต่ำได้มากเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่สังกัด