
“ผู้ว่าการธปท.” ชี้ นโยบายการเงินผ่อนคลายมีความจำเป็นน้อยลง หลังความเสี่ยงเงินเฟ้อชัดเจนขึ้น รับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ลั่น “ขึ้นช้าเกินไปไม่ดี” เสี่ยงทำเศรษฐกิจฟื้นตัวสะดุด
วันที่ 13 มิถุนายน 2565 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “สร้างภูมิคุ้มกันประเทศไทย” ที่จัดโดยสำนักข่าว “Thaipublica” ว่า แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) จะเห็นจากสเตตเมนต์ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงในการคงอัตราดอกเบี้ย 0.50%
แต่จะเห็นว่าคณะกรรมการมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกัน โดยหากพิจารณาชั่งน้ำหนักความเสี่ยง (Balance of Risk) มีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นชัดเจน ซึ่งความจำเป็นการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเป็นพิเศษน้อยลง และจะต้องกลับไปสู่ระดับปกติมากขึ้น เพื่อจะสร้างกันชนและภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับสถานการณ์หรือช็อกในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายอย่างไรเพื่อให้การฟื้นตัวไม่สะดุด (Smooth Takeoff) ซึ่งการปรับดอกเบี้ยจะดูตามบริบทของไทย ไม่ใช่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยเราจะต้องดูบริบทการฟื้นตัวเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ซึ่งหากถามว่าจะขึ้นเมื่อไร และขึ้นอย่างไร ก็ต้องตอบว่า “ช้าเกินไปไม่ดี” แต่การปรับจะต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ หากดูในแง่นโยบายการเงิน จะเห็นว่าไทย ผ่อนปรนนโยบายการเงินมาเป็นเวลานาน ดอกเบี้ยไทยต่ำมาก และต่ำสุดในภูมิภาค แต่เงินเฟ้อติดอันดับท็อปๆ ในภูมิภาค ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากไทยเจอปัญหาโควิด-19 มากกว่าคนอื่น ทำให้การฟื้นตัวของเศรษบกิจช้ากว่าคนอื่น ดังนั้น หากมองไปข้างหน้า เราไม่ได้เหยียบเบรก แต่เราถอนคันเร่ง เพราะถ้าคอยนานเกินไปจะทำให้เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด จะเป็นปัญหา ซึ่งจะทำให้โอกาสไปขึ้นเยอะ เร็วและแรงในช่วงหลัง ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่อยากเห็น
“การขึ้นดอกเบี้ย เราไม่ได้มีเป้าเช็ทไว้ในใจว่าจะต้องขึ้นกี่ครั้ง ต้องขึ้นแค่ไหน ละขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เพราะทุกอย่างจะต้องดูบริบทเศรษฐกิจในขณะนั้น และเป็นลดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพราะที่ผ่านมาเราผ่อนคลายมาก การลดคันเร่งจึงมีความจำเป็น ไม่ได้เป็นการแตะเบรก เพราะหากไม่ทำเงินเฟ้อปัจจุบันอยู่ค่อนข้างสูง และหากเราไม่ดูเงินเฟ้อโอกาสที่เศรษฐกิจสะดุดมีแน่นอน”
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ ธปท.กังวล และเป็นเรื่อง Top of Mind คือ ภาคการท่องเที่ยว เพราะถ้าหากการท่องเที่ยวไม่มาตามที่คาดไว้ เศรษฐกิจจะไม่กลับมาฟื้นตัวเหมือนเดิมยาก ซึ่งท่องเที่ยวเป็นตัวช่วยเรื่องการฟื้นตัว แต่ในแง่ของตัวเลขจะเป็นเรื่องการส่งออก เพราะมีสัดส่วนการส่งออกสูง แต่ไม่ได้มีผลกับความรู้สึกคนเยอะ เพราะการจ้างงานไม่เยอะเมื่อเทียบกับภาคการท่องเที่ยว ที่มีเรื่องของรายได้และการจ้างงานเข้ามาค่อนข้างสูง
สำหรับโอกาสในการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มองว่า โอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะทุนสำรองระหว่างประเทศค่อนข้างสูง หนี้ต่างประเทศระยะสั้นน้อย เมื่อเทียบกันแล้ว แม้ว่าจะมีเงินไหลออกก็สามารถรองรับได้ ซึ่งโจทย์ของไทย คือ การฟื้นตัวไม่ต่อเนื่อง และเครื่องยนต์เงินเฟ้อมันติด จึงต้องชั่งน้ำหนักการเติบโตกับเงินเฟ้อ ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจึงไม่ใช่ปัญหาที่ทำให้กังวลจนนอนไม่หลับ
ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันจะเห็นว่าเราเจอ Shock ใหม่ ๆ และแปลก ๆ ค่อนข้างเยอะ เดิมก่อนโควิด-19 เศรษฐกิจไทยน่จะขยายตัวได้ 3% แต่มีโควิด-19 จีดีพี -6.1% และมาเจอผลกระทบจากรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งมากระทบนรูปของอัตราเงินเฟ้อ เดิมมองว่าจะอยู่ที่กว่า 1% ล่าสุดตัวเลขวิ่งไปที่กว่า 6% ดังนั้น เพื่อรับมือกับ Shock ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันหรือสร้างกันชนอย่างน้อย 5 ข้อ
ได้แก่ 1.เสถียรภาพด้านต่างประเทศ ปัจจุบันค่อนข้างดี มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศรองรับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 2-3 เท่า แม้ว่าเจ้าหนี้จะเอาเงินทุนออกก็ตาม 2.เสถียรภาพด้านการคลัง จะเห็นง่าหลังเกิดโควิด-19 หนี้สาธารณะปรับจาก 40% ไปสู่ระดับ 60% ซึ่งมองว่ามีความจำเป็นและหลายประเทศก็ทำในลักษณะนี้ เพราะหากไม่มีมาตรการทางการคลังมาช่วยเศรษฐกิจไทยอาจจะ -9% แต่ติดลบเพียง -6.1%
และ 3.สถียรภาพการเงิน หากดูเงินกองทุนของระบบสถาบันการเงินยังคงเข้มแข็ง มีสภาพคล่องส่วนเกินสูง แม้ว่าจะมีบางเซ็กเตอร์ที่ได้รับผลกระทบ เช่น หนี้ครัวเรือนที่สูงแตะ 90% ของจีดีพี แต่รายใหญ่ยังคงแข็งแรงมีหนี้ค่อนข้างต่ำ 4.เสถียรภาพด้านราคา เรื่องของเงินเฟ้อ ธปท.ไม่อยากให้สูงและผันผวน แต่ปัจจุบันยอมรับว่าอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่าจะแตะรดับสูงสุด หรือพีกในไตรมาสที่ 3/65 และทยอยปรับลดลงเข้าเป้าในปี’66
สุดท้าย 5.กลไกหรือกระบวนการดำเนินนโยบายที่ดี เป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญและดีที่สุด เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันจะต้องมีกระบวนการที่เหมาะสม และสร้างกลไกนโยบายที่เหมาะสมกับบริบท โดยถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูล หรือ Data Driven มีการประเมินผลของนโยบาย ไม่เน้นการออกอย่างเดียว แต่ไม่มีการประเมินผล และการทำนโยบายจะต้องโปร่งใส สามารถอธิบายได้ชัดเจน โดยดูองค์รวมมากกว่าคนที่เสียงดัง เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม