ฟันธงไตรมาสแรกกำไรบจ.ดิ่ง กลุ่มธนาคาร-พลังงาน-ปิโตรฯรายได้ทรุด

บล.ทิสโก้ฟันธงกำไร บจ.ไตรมาสแรกไม่โต เหตุ 3 อุตสาหกรรมใหญ่ “ธนาคาร-พลังงาน-ปิโตรเคมี” ผลประกอบการไม่สดใส ขณะที่ “บล.เอเซีย พลัส-บล.เคทีบี (ประเทศไทย)” ปรับลดประมาณการกำไร บจ. ทั้งปีลงเหลือโตปริ่ม 1 ล้านล้าน หลังแนวโน้มหลายธุรกิจส่อแววกำไรฮวบ

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเมินภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในงวดไตรมาส 1/2561 คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิโดยรวมจะไม่เติบโต ซึ่งเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่ 1.ฐานกำไรของปีก่อนที่ค่อนข้างสูง เพราะกำไรสุทธิของ บจ.ในงวดไตรมาส 1/2560 อยู่ถึงระดับ 271,000 ล้านบาท ถือเป็นกำไรรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และ 2.คาดว่าตลาดน่าจะมีแรงกดดันจากกำไรสุทธิของ 3 กลุ่มหลัก ๆ อย่างกลุ่มธนาคาร, พลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี ที่คาดว่าจะไม่เติบโต เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY)

โดยสำหรับกลุ่มแบงก์ประเมินว่า จะมีกำไรงวดไตรมาส 1/2561 อยู่ที่ระดับ 49,800 ล้านบาท ซึ่งแม้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาส 4/2560 แต่กลับทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS9) และกระบวนการเปลี่ยนแปลงการบริการสู่ระบบดิจิทัล ขณะที่กลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี แม้กำไรโดยรวมคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่น่าจะลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากไม่มีการบันทึกรายการพิเศษจำนวนมาก อาทิ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) และการประกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมันเหมือนปีที่แล้ว เป็นต้น

“กำไรของ บจ.งวดไตรมาส 1/2561 โดยรวมคาดว่าจะไม่เติบโตจากช่วงไตรมาส 1/2560 ที่ทำได้ 270,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากฐานที่ค่อนข้างสูงในปีก่อน ประกอบกับยังมีแรงกดดันจากผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร, พลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 55-60% ของกำไรโดยรวมของตลาด ที่คาดว่าจะไม่เติบโตเช่นกัน ทั้งนี้ เราอาจมีการทบทวนประมาณการกำไร บจ.ทั้งปีลงหากผลการดำเนินงานจริงออกมาไม่โตหรือต่ำกว่าที่คาดไว้” นายอภิชาติกล่าว

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า ประเมินว่าไตรมาส 1/2561 กำไรสุทธิรวมของ บจ.จะอยู่ประมาณ 220,000-230,000 ล้านบาท ซึ่งอาจปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับจากช่วงไตรมาส 4/2560 ที่ทำได้ 244,674 ล้านบาท และจากไตรมาส 1/2560 ที่อยู่ระดับ 271,134 ล้านบาท ส่วนกำไร บจ.ในช่วงไตรมาส 2/2561 ยังต้องรอดูทิศทางของราคาน้ำมันก่อน เนื่องจากน้ำหนักกำไรของ บจ.มากกว่า 1 ใน 3 ของกำไรสุทธิ รวมอยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์” นายเทิดศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ยังได้ปรับประมาณการกำไร บจ.ปี 2561 ลดลงราว 2% จากเดิมที่คาดไว้ระดับ 1.12 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 1.09 ล้านล้านบาท หลังมีปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของรายกลุ่มต่าง ๆ ลง อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ลดลง 10,300 ล้านบาท หรือราว 5% จากผลกระทบการยกเว้นค่าธรรมเนียมของแบงก์, กลุ่มไอซีทีลดลงราว 13% (ผลจาก JAS ที่เลื่อนการรับรู้กำไรจากการขายทรัพย์สินไปอยู่ในปี 2562 แทน

เดิมที่คาดบันทึกในปี 2561) และกลุ่มเหล็กลดลงราว 2.9% (จากทิศทางของ MCS ย่ำแย่ลง) รวมถึงทำให้กำไรสุทธิตลาดต่อหุ้น (EPS) ลดลงจาก 112.39 บาทต่อหุ้น เป็น 110 บาทต่อหุ้น

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดการเติบโตของกำไรสุทธิตลาดรวมปี 2561 ลงเหลือ 5-6% จากเดิมที่คาดไว้เติบโต 9% หรือมาอยู่ที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท จากเดิมคาดที่ 1.07 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการทบทวนกำไรของ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มแบงก์ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมบริการทางดิจิทัลและมาตรฐานบัญชีใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีผลต่อกำไรรวมลดลงประมาณ 1-1.5%

2.การเงิน-กลุ่มเช่าซื้อ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากประกาศว่าด้วยเรื่องสัญญาเช่าซื้อต้องแสดงอัตราการคิดดอกเบี้ย effective rate และคิดดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ที่จะทำให้กำไรรวมลดลงราว 1% และ 3.กลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากส่วนต่างของราคาน้ำมันและปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลง โดยอาจส่งผลต่อกำไรกลุ่มราว 0.5 -1%