วันมหิดล วันที่แม่ร้องไห้มากกว่าคนอื่น “ใครอยากรวยก็ควรเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่แพทย์”

วันมหิดล 24 กันยายน

95 ปี วันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลเดชวิกรม พระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย”

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชโอรส พระองค์ที่ 7 ในจำนวนพระราชโอรส พระราชธิดาทั้ง 8 พระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับสมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สวรรคตวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472

องค์ต้น ราชสกุลมหิดล

ประสูติวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2434 ทรงเป็นองค์ต้นราชสกุล “มหิดล” ได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยจากแพทย์ และประชาชนทั่วไปว่า “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย”

มีพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช นเรศวรมหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณทราชาวรางกูร สมบูรณ์เบญจพรศิริสวัสดิ์ ขัติยวโรภโตสุชาติ คุณสังกาศเกียรติประกฤษฐ์ ลักษณวิจิตรพิสิฏฐ์บุรุษ ชนุดมรัตรพัฒนศักดิ์ อัครราชวรกุมาร กรมขุนสงขลานครินทร์”

เมื่อทรงมีพระราชอิสริยยศ “สมเด็จฯเจ้าฟ้ามหิดล” พระชนมายุ 13 พรรษา ทรงรับรู้ถึงความทุกข์ของพระบรมราชชนนี คือสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา ที่ทรงเสียพระทัย ที่ต้องทรงสูญเสีย เด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร รัชทายาทพระองค์แรก จากนั้นตำแหน่งรัชทายาทได้เปลี่ยนสายไปยัง สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี สมเด็จฯเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7)

ด้วยความรับรู้ถึงความเสียพระทัยของพระราชชนนี เจ้าฟ้ามหิดล ทรงกราบทูลสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า “…โตขึ้นพอมีความคิด ก็รู้สึกสลดใจว่าตั้งแต่หม่อมฉันเกิดมาเห็นแต่เสด็จแม่ทรงเป็นทุกข์โศก ไม่มีอะไรที่จะทำให้ชื่นพระหฤทัยเสียเลย สงสารเสด็จแม่…”

ADVERTISMENT

“จึงคิดว่าลูกผู้ชายของท่านก็เหลืออยู่แต่หม่อมฉันคนเดียว ควรจะสนองพระคุณด้วยการทำการงานอย่างหนึ่ง ให้เสด็จแม่ทรงยินดี ด้วยเห็นลูกสามารถทำความให้เป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองได้”

ศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเยอรมนี

“เจ้าฟ้ามหิดล” ทรงได้รับการศึกษาที่โรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง และทรงเสด็จไปศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยม Harrow ประเทศอังกฤษ จากนั้นไปทรงศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเยอรมนี ในมหาวิทยาลัย Royal Prussian Military College และทรงเลือกวิชาทหารเรือต่อที่ Imperial German Naval College ทรงสำเร็จการศึกษาได้รับพระยศเป็นนายเรือตรี และนายเรือโท ในกองทัพเยอรมนี

เสด็จกลับสยาม ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้พระราชอนุชา (ต่างพระราชชนนี) เข้ารับราชการในกรมเสนาธิการทหารเรือ พระราชทานพระยศเป็นนายเรือโทแห่งราชนาวีสยาม และย้ายไปกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ตำแหน่งอาจารย์นายเรือ แผนกแต่งตำรา พระยศนายเรือเอก

ผลงานทางวิชาการที่ยังประโยชน์แก่กองทัพเรือ คือ “ร่างโครงการสร้างกองเรือรบ หรือโครงการสร้างกำลังทางเรือ-Flottenbau Plan” ซึ่งบรรยายถึงความจำเป็นในการที่กองทัพเรือสยามจำเป็นต้องมีเรือตอร์ปิโดและเรือดำน้ำไว้ใช้ เข้า-ออกแม่น้ำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

โรงพยาบาลศิริราช จุดประกายอาชีพหมอ

วันหนึ่งทรงเสด็จไปทอดพระเนตรโรงพยาบาลศิริราช ทรงสลดพระทัย กับในปัญหาอุปสรรคของกิจการแพทย์สยาม โรงพยาบาลศิริราช ขณะนั้นมีอาคารเรียน อาคารผู้ป่วย ไม่กี่หลัง ชื่อวิคโตเรีย เป็นตึก 2 ชั้น กว้างประมาณ 3 วา ยาว 4 วา เป็นตึกสำหรับคนไข้พิเศษ ตั้งได้เตียงเดียว…อีกตึกชื่อ เสาวภาคย์ กว้าง 3 วา ยาว 5 วา เป็นสถานที่ตรวจวิเคราะห์หาเชื้อโรค โรงคลอดบุตร เป็นโรงไม้

จึงทรงดำริว่า สถานะเจ้าฟ้า ซึ่งสูงทั้งพระอิสริยศักดิ์และรายได้ อันจะสามารถทำให้กิจการต่างๆ ที่ทรงพระประสงค์สำเร็จลุล่วงได้ไม่ยาก จึงทรงตั้งพระทัยในอันที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ จากความเจ็บไข้ ได้ป่วย

ทรงกราบลาออกจากราชการกองทัพเรือ และเสด็จไปทรงศึกษาวิชาแพทย์และสาธารณสุขศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และสถาบันเทคนิควิทยาแห่งแมสซาชูเซตส์ ใช้พระนามในการเรียกพระองค์ว่า “มิสเตอร์มหิดล ณ สงขลา” ใช้เวลาในการศึกษา 6 ปี ระหว่างนั้นทรงพัฒนาการแพทย์สยามควบคู่ไปด้วย ทรงสำเร็จวิชาแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตเกียรตินิยม

สละพระราชทรัพย์ ประทานทุนแพทย์

ทรงวางแผนส่งนักเรียนแพทย์ไทยไปศึกษาวิชาการแพทย์สมัยใหม่ในต่างประเทศ สละพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์และของเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ ประทานให้เด็กไทยไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา มากกว่า 10 ทุน

ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ซื้อที่ดินและอาคารสถานที่ของโรงเรียนวังหลัง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยเงิน 50,000 บาท เปลี่ยนเป็นที่พักของพยาบาล

ครั้งหนึ่งทรงประทานเงิน 80,000 บาท เป็นค่าก่อสร้างตึกศัลยกรรมชาย แต่ไม่โปรดให้มีพระนาม เมื่อสร้างเสร็จแล้ว จนเมื่อเสด็จทิวงคตแล้ว จึงได้เรียกอาคารนี้ว่า “ตึกมหิดลบำเพ็ญ”

ขณะที่ดำรงตำแหน่งพระอาจารย์ ทรงมีพระดำรัสกับลูกศิษย์ เสมอว่า “ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอมีความรู้แต่ทางการแพทย์อย่างเดียว ฉันต้องการให้พวกเธอเป็นคนด้วย” และ “อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ดีจึงไม่ร่ำรวย แต่ไม่อดตาย ถ้าใครอยากรวยก็ควรเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่แพทย์”

วันที่แม่ร้องไห้มากกว่าคนอื่น

ภาพจาก มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล

สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล เริ่มประชวรด้วยโรคตับอักเสบ ทรงเป็นฝีบิดในตับ อาการโรคพระวักกะ (ไต) พิการกำเริบ ทรงประทับรักษาพระองค์อยู่ที่วังสระปทุม 4 เดือนเศษ

ในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงบันทึกไว้ในหนังสือ แม่เล่าให้ฟัง ว่า …

“ข้าพเจ้าจำวันนั้นได้อย่างชัดทีเดียว หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับจากโรงเรียนราชินี หลังบ่าย 4 โมง ข้าพเจ้าเดินอยู่บนขอบหินของถนนหน้าตำหนักโดยกระทืบรองเท้าลงไปแรง ๆ ให้เสียงดัง ๆ โดยพยายามไม่เหยียบเส้นต่อ มีคนมาบอกให้เงียบ ๆ และให้ขึ้นไปหาแม่ที่ห้องแต่งตัวของแม่ แม่นั่งอยู่บนม้ายาวหน้าหน้าต่าง แม่ดึงตัวข้าพเจ้าไปกอด และพูดอะไรที่ข้าพเจ้าจำไม่ได้และร้องไห้ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้ด้วย เพราะความตกใจที่เห็นแม่ร้องไห้มากกว่าคนอื่น”

แม่เล่าให้ฟัง ต้นธารแห่งความสมถะ

ต้นธารพระราชจริยวัตรอันงดงาม และสมถะ ของทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ นั้นล้วนถูกหล่อหลอมมาจากสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ไม่ว่าจะเป็นการที่ทรงตั้งพระทัยที่จะเป็น “ครู” และการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ที่อุทิศให้เกิดความผาสุกแก่ปวงชนชาวไทยแม้กระทั่งการดำเนินชีวิตส่วนพระองค์ ล้วนเป็นไปด้วยความเรียบง่าย

หนังสือชื่อ “แม่เล่าให้ฟัง” ที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประพันธ์ไว้ ตอนหนึ่งว่า

พระบรมราชชนก ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ ทรงช่วยเหลือบุคคลต่าง ๆ ให้ได้รับการศึกษา อาทิ นายประสบ สุขุม (พระพิศาลสุขุมวิท) และนายประดิษฐ์ สุขุม (หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์) ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าพระยายมราช

โดยเมื่อพระบรมราชชนก เสด็จกลับประเทศไทยในปี 2460 ท่านทรงเข้ารับราชการในราชนาวีไทย ได้รับยศเป็น “นายร้อยโท” รับพระราชทานเงินเดือนเพียง 130 บาท โดยทรงวางพระองค์เป็น “ทหารเรือธรรมดาผู้หนึ่ง” และมีพระประสงค์ที่จะให้ทุกคนลืมว่า ฐานันดรศักดิ์ของพระองค์คือ “เจ้าฟ้า”

มีตัวอย่างเล่าว่า ตามประเพณีของทหารเรือ ณ ที่หน้ากระทรวงทหารเรือนั้น หากมีพระราชวงศ์เสด็จ ทหารรักษาการณ์ จะต้องตั้งแถวถวายความเคารพ แต่สำหรับ “พระบรมราชชนก” แล้ว พระองค์ท่านให้เว้นการกระทำนั้นแก่พระองค์

และเมื่อถึงคราวต้องฝึกภาคปฏิบัติ พระองค์จะไม่ยอมขอสิทธิใดๆ ในฐานะ “เจ้าฟ้า” แต่ทรงขอเพียงสิทธิที่ทหารเรือพึงจะได้เท่านั้น จึงทรงเป็นเจ้าฟ้า อันเป็นที่รักและเคารพแก่ทหารเรืออย่างยิ่ง

ฉลองพิธีราชาภิเษกสมรส ณ บ้านศาลาแดง

แม้กระทั่งงานพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ก็ทรงจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ที่วังสระปทุม โดยมีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นองค์ประธาน

ในการนี้ทรงโปรดให้มีการพระราชทานเลี้ยงน้ำชาแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทที่เสด็จไปร่วมในพระราชพิธีด้วย

จากนั้นอีก 8 วัน เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ได้ขอพระราชทานจัดเลี้ยงฉลองพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสอีกครั้ง ซึ่งได้จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเช่นกัน ณ ที่บ้านศาลาแดง ของเจ้าพระยายมราช (ปัจจุบันคือ บริเวณโรงแรมดุสิตธานี)

งานเลี้ยงดังกล่าว มีอาหารคาวหวานตามสมควร อาทิ หูฉลามน้ำแดง, หมูหัน, หน่อไม้ผัดปูทะเล, แฮ่กึ๊น, นกผัดเปรี้ยวหวาน, เกยยังก๊กเซี่ยงบี้, ผัดหอยนางรมใส่ไข่ ผัดใบคะน้า และรังนก ไอศกรีม ผลไม้

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเขียนบันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า “ทูลกระหม่อมอาแดงทรงเสกสมรสกับหม่อสังวาลย์ ทำกันค่อนข้างเงียบมากที่วังสระปทุม ทูลกระหม่อมลุงเสด็จพระราชดำเนิน มีข้าราชการสำนักมาด้วยมากมาย แต่ไม่มีเจ้านายอื่น ๆ เลย”

“ทูลกระหม่อมอาแดงนั้น ทรงเป็นเจ้าฟ้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งมากที่สุดพระองค์หนึ่ง ในบรรดาเจ้าฟ้าด้วยกัน แต่ท่านทรงระมัดระวังกระเหม็ดกระแหม่ในการใช้จ่ายเป็นที่สุด แทนที่จะเสด็จไปประทับโฮเต็ลชั้นเอก กลับประทับโฮเต็ลที่ซอมซ่อที่สุดอยู่ใกล้ ๆ สถานทูต อันเป็นทำเลที่ไม่หรูหราเสียเลยในกรุงลอนดอน” พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ในฐานะ “หลานอา” ทรงบันทึกไว้

ดังที่พระองค์เจ้าหลายพระองค์ ต่างบันทึกไว้สอดคล้องกันว่า พระบรมราชชนกนั้น “ท่านต้องการจะเก็บรายได้ของท่านไว้เป็นส่วนมากเพื่อทำการกุศลอย่างมากมาย ด้วยเหตุนี้ผู้ซึ่งรู้จักทูลกระหม่อมอาแดงดี จึงรักใคร่นับถือบูชาท่านอย่างดูดดื่ม”

วันมหิดล วันหยุดราชการพิเศษ

ในรัชสมัย รัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นพระโอรสขึ้นครองราชย์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเฉลิมพระนามเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลเดชวิกรม พระบรมราชชนก และให้วันที่ 24 กันยายนของทุกปี เป็น “วันมหิดล” ซึ่งเป็นวันที่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชน ร่วมใจระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่มีต่อการแพทย์และสาธารณสุขไทย

ในรัชสมัยปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลประกาศ ให้วันที่ 24 กันยายน 2564 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ