ศาลฎีกาพิพากษายืนประหารชีวิต “บังฟัต” คดีฆ่า “ผู้ใหญ่บัติ” ยกครัว

ศาลฎีกาสั่งประหารชีวิตบังฟัต

ศาลฎีกาพิพากษายืนประหารชีวิต “บังฟัต” คดีฆ่า “ผู้ใหญ่บัติ” ยกครัว 8 ศพ ส่วนทีมสังหารโดนสั่งประหารด้วย 

วันที่ 18 มีนาคม 2564 ข่าวสด รายงานว่า ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต “บังฟัต” พร้อมพวกอีก 6 คน หลังลงมือก่อเหตุวางแผนและฆ่า นายวรยุทธ สังหลัง หรือผู้ใหญ่บัติ อดีตผู้ใหญ่บ้านกลาง อำเภออ่าวลึก จ.กระบี่ เสียชีวิตพร้อมสมาชิกในครอบครัว ภายในบ้านพัก 8 ราย เหตุเกิดเมื่อปี 2560

ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 1 คน คือจำเลยคนที่ 8 ถือว่าได้รับโทษเบาที่สุด โดยศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์จำคุก 12 เดือนเช่นเดิม เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้มีส่วนร่วมและรู้เห็นในการฆ่า ซึ่งปัจจุบันจำเลยที่ 8 ได้รับโทษครบตามจำนวนและพ้นโทษไปแล้ว ถือเป็นอันปิดฉากคดีสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กระทั่งถึงวันนี้ เป็นเวลา 3 ปี กับอีก 8 เดือน

โดยการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาวันนี้ ใช้วิธีการอ่านคำพิพากษาผ่าน Video Conference จากศาลจังหวัดกระบี่ไปยังเรือนจำกลางจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีครอบครัวของนายวรยุทธ สังหลัง หรือผู้ใหญ่บัติ อดีตผู้ใหญ่บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ที่เสียชีวิตพร้อมสมาชิกในครอบครัว 8 ราย เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดกระบี่ด้วย

คดีนี้มีจำเลยทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์สกุล หรือบังฟัต นายคมสรรค์ เวียงนนท์ นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ นายอรุณ ทองคำ นายประจักษ์ บุญทอย นายธนชัย จำนอง นายธวัฒชัย บุญคง และจำเลยที่ 8 นางชลิดา สังข์โชติ

โดยวันนี้ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ลงโทษประหารชีวิต บังฟัตพร้อมกับจำเลยที่ 2 ถึง 7 เนื่องจากศาลให้ความเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 7 เป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น และให้จำเลยทั้ง 7 จ่ายชดใช้ค่าเสียหายให้กับญาติผู้เสียชีวิตทุกคนด้วย ตั้งแต่วงเงิน 4 แสนบาทไปจนถึง 2 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 8 นางชลิดา ยืนโทษจำคุก 12 เดือนเช่นเดิม เนื่องจากศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการลงมือฆ่า

เด็ก 3 ขวบก็ไม่ไว้ชีวิต

ข่าวสด รายงานว่า คดีนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญเมื่อปี 2560 โดยกลุ่มคนร้ายแต่งกายชุดลายพรางบุกเข้าบ้านพักของผู้ใหญ่บัติ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ก่อนก่อเหตุสังหารหมู่ 8 ศพ และบาดเจ็บอีก 3 ราย สิ่งที่สะเทือนใจคือในบรรดาผู้ตายมีเด็กหญิง 3 ราย อายุเพียง 4 ขวบ 8 ขวบ และ 12 ปี รวมอยู่ด้วย

ความอหังการของทีมสังหาร ทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต้องโดดลงมาคุมคดีด้วยตนเอง พร้อมสั่งการให้ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. คุมทีมจากส่วนกลาง ร่วมสืบสวนคลี่คลายคดีร่วมกับตำรวจ บช.ภาค 8 และบก.ภ.จว.กระบี่ ทันที

ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของตำรวจที่สามารถคลี่คลายคดีฆาตกรรมยกครัวครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเวลาเพียง 5 วัน ก็สามารถลากคอผู้ต้องหาได้ยกแก๊ง 8 คนมารับโทษตามกฎหมาย

ส่วนสาเหตุก็เกิดจากความแค้นเรื่องที่ดิน ที่ผู้ใหญ่เหยื่อโหดครั้งนี้นำไปจำนองกับคนร้าย แต่กลับเอาไปจำนองต่อกับธนาคาร โดยที่เจ้าของเดิมไม่รู้ไม่เห็น

เมื่อเอาเงินไปไถ่ถอนเรียบร้อย แทนที่จะคืนใบโฉนดให้แก่กัน กลับไม่ดำเนินการ จนกลายเป็นความแค้นฝังใจ ถึงขั้นขู่ฆ่าล้างโคตรกันไปมา นำมาสู่การฆ่าล้างโคตร โดยผู้ต้องหาก็ไม่ใช่คนมีสีที่ไหน แต่ที่แต่งกายชุดลายพรางก็เพื่ออำนวยความสะดวกเวลาเจอด่านตรวจ ยืนยันว่าปมความขัดแย้งมีแค่เรื่องที่ดิน

ผู้ต้องหาทั้งหมด ประกอบด้วย

  1. นายซูริก์ฟัต หรือ บังฟัต หรือ โทริ บ้านนบวงศ์สกุล อายุ 41 ปี หัวหน้าแก๊ง
  2. นายประจักษ์ บุญทอย
  3. นายธนชัย จำนอง
  4. นายอรุณ ทองคำ
  5. นายธวัฒชัย บุญคง
  6. นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ
  7. นายคมสรรค์ เวียงนนท์
  8. น.ส.ชลิดา สังขโชติ ภรรยาอีกคนของบังฟัต

ทั้งหมดศาลอนุมัติหมายจับหลายข้อหา ซึ่งหนักหน่วงทั้งสิ้น

จากการสอบสวนทราบว่า บังฟัตวางแผนก่อเหตุด้วยการเรียกพวกลูกจ้าง ลูกน้อง ที่รับจ้าง บางคนทำสวนยางพารา รวม 6 คน มาร่วมงาน บอกว่าจะมาทวงหนี้เงินกู้ 3 ล้านบาท และให้ค่าจ้างคนละ 1 พันบาท ก่อนก่อเหตุให้ทุกคนเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบลายพรางเพื่ออำนวยความสะดวกเวลาเดินทางผ่านด่านตรวจ

นอกจากนี้ยังให้ลูกน้องเรียกตัวเองว่า “ผู้พัน” ขณะที่ลูกน้องที่ก่อเหตุก็เรียกกันว่า “จ่า” และ “ผู้กอง”

เบื้องต้นบังฟัตตั้งใจจะฆ่าแค่ผู้ใหญ่บ้านกับเมียเท่านั้น เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านเป็นคู่ขัดแย้งที่เคยอาฆาตกันมาก่อน ขณะที่เมียมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดเจ้าปัญหา จึงสวมหมวกไอ้โม่งคลุมหน้าตาป้องกันไม่ให้คนในบ้านจำหน้าได้ เพราะจริง ๆ แล้วทั้งบังฟัตและผู้ใหญ่บัติก็เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันในระดับหนึ่ง

แต่เกิดผิดแผน เนื่องจากพอบุกเข้าไปในบ้านแล้วกลับไม่พบเป้าหมาย จึงต้องรออยู่เป็นเวลานานทำให้พยานจำหน้าลูกน้องได้หมด

นอกจากนี้เมื่อผู้ใหญ่บัติมาถึงก็ให้ลูกน้องล็อกตัวเอาไปพูดคุย ขณะนั้นผู้ใหญ่บัติเอ่ยชื่อ “โทริ” ซึ่งเป็นฉายาของบังฟัต สมัยเป็นนักมวยใช้ชื่อ “โทริจรวดเล็ก ศักดิ์พรน้อย” ทำให้บังฟัตถอดหมวกไอ้โม่งออก เพราะรู้แล้วว่าผู้ใหญ่บัติจำเสียงได้ จึงตัดสินใจฆ่าปิดปากทั้งหมด โดยใช้ปืน .38 ของผู้ใหญ่บัติลั่นไกทีละคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงหรือเด็ก อย่างโหดเหี้ยม

ช่วงนั้นให้ลูกน้องเอาผู้ใหญ่บัติไปขังไว้ในรถ พร้อมให้เซ็นใบโอนรถยาริส และให้โทรศัพท์ไปยืมเงินเพื่อนให้โอนเข้าบัญชี 5 แสนบาท อำพรางว่าเครียดเรื่องปัญหาหนี้สิน และยังยึดบัตรเอทีเอ็มของผู้ใหญ่บัติเพื่อเตรียมไปกดเงินด้วย

ทั้งนี้ เมื่อลูกน้องคุมตัวผู้ใหญ่บัติเข้ามาในบ้าน เมื่อผู้ใหญ่บัติเห็นคนในบ้านถูกยิงหมดก็คลุ้มคลั่งอาละวาดยื้อยุดอยู่กับบังฟัต ทำให้ปืนหล่น ขณะนั้นนายอรุณ หรือบังกี ลูกน้องก็ใช้ปืนยิงใส่ผู้ใหญ่บัติจนเสียชีวิต จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมนายวรยุทธ ที่ถูกจัดฉากว่าฆ่าตัวตายหลังยิงครอบครัว ถึงมีหัวกระสุนในร่างกายถึง 4 นัด

เมื่อก่อเหตุเสร็จเรียบร้อย บังฟัตและพวกก็หลบหนี พร้อมเอาฮาร์ดดิสก์จากกล้องวงจรปิด และรถยาริส ของผู้ใหญ่บัติ เพื่อเอาไปเผาอำพรางที่ จ.พังงา ซึ่งเอาแบบอย่างจากภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนที่เคยดูมา

นอกจากนี้ยังนำรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ไปซุกซ่อนไว้ที่เต็นท์เช่ารถแห่งหนึ่งใน จ.กระบี่ ใกล้ ๆ กับที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันการถูกตรวจจับจากกล้องวงจรปิด แล้วแยกกัน โดยรถโตโยต้า ยาริส สีขาว ที่ใช้ก่อเหตุเอาไปฝากที่บ้านนายไพศาล จำนอง น้องภรรยา ที่บ้านม่วงสองต้น ต.นาสาร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช

จากนั้นนั่งรถตู้โดยสารจาก บขส.นครศรีธรรมราช หลบหนีไปกบดานที่ จ.ภูเก็ต ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับกุมได้ในที่สุด

ส่วนเบื้องหลังของการจับกุมครั้งนี้ เริ่มต้นจากการที่ชุดสืบสวนส่วนกลางนำภาพผู้ต้องสงสัยให้พยานที่รอดชีวิต ดูว่าเป็น 1 ในแก๊งคนร้ายหรือไม่ เมื่อพยานยืนยันว่าใช่ พร้อมเล่าปมขัดแย้งใหม่คือเรื่องจำนองที่ดิน จึงกระจายกำลังสืบสวนสอบสวนพยาน จนพบว่าบังฟัต ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลข 1 มีรถลักษณะเดียวกับที่คนร้ายใช้ก่อเหตุอยู่จริง อีกทั้งหลังเกิดเหตุยังหายตัวไปจากพื้นที่ จึงตามสะกดรอยจนจับกุมได้ยกแก๊ง

ขณะที่ลูกสมุนต่างให้การตรงกันว่า ก่อนเกิดเหตุบังฟัตเรียกลูกน้องที่เป็นชาวสวนยาง และรับจ้างทวงหนี้เป็นอาชีพเสริม ให้มาร่วมงาน บอกว่าหลังจากงานเสร็จ นอกจากค่าจ้าง 1 พันบาท จะให้เงินไปดาวน์รถ แต่เมื่อเกิดเหตุจนถึงการลงมือฆ่า บรรดาลูกน้องที่รับงานมาก็ไม่กล้าทำ พร้อมห้ามปราม แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งลงมือเสร็จแยกย้ายหนี โดยที่ไม่ได้ค่าจ้างใด ๆ สุดท้ายแม้จะพยายามวางแผนที่คิดว่าเหนือชั้นที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือตำรวจ

โดยในวันที่ 28 มีนาคม 2561 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดกระบี่ พิพากษาประหารชีวิตบังฟัตและจำเลยรวม 6 คน ส่วนจำเลยอีก 2 คน คือ นางชลิดา สังข์โชติ ภรรยาบังฟัต รับโทษจำคุก 12 เดือน และ นายธวัชชัย บุญคง จำคุก 1 ปี 9 เดือน ล่าสุดได้พ้นโทษออกมาแล้ว