สธ.ชงศบค.ชุดใหญ่ “คลายล็อกเพิ่ม” 27 ก.ย. พบคลัสเตอร์ใหม่ตจว.อื้อ!

พญ.อภิสมัย-ผช.โฆษก ศบค.
แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์

สธ.ชงปรับมาตรการชุดใหม่เข้า ศบค.ชุดใหญ่ 27 ก.ย.นี้ ยันไม่ลืมสถานบันเทิง โรงภาพยนตร์ แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ระบุพบคลัสเตอร์ใหม่ในต่างจังหวัดอื้อ ทั้งแคมป์ก่อสร้าง ตลาด ชุมชน งานศพ หน่วยงานราชการ ย้อนธุรกิจคลายล็อกระยะที่ 3 เปิดนั่งกินในร้าน 100% ธุรกิจสปา เครื่องเล่นเด็ก ธุรกิจฟิตเนส  โรงภาพยนตร์ และห้องจัดเลี้ยง มีเฮ!

วันที่ 20 กันยายน 2564 แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 แถลงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อประจำวันว่า สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศ ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 มีผู้ป่วยรายใหม่ 12,709 ราย หายป่วยแล้ว 1,313,718 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,460,323 ราย และเสียชีวิตสะสม 15,375 ราย

ส่วนข้อมูลสะสมตั้งแต่ปี 2563 มีผู้หายป่วยแล้ว 1,341,144 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,489,186 ราย เสียชีวิตสะสม 15,469 ราย

สำหรับผู้ป่วยกำลังรักษา 132,573 ราย อยู่ในโรงพยาบาล 43,966 ราย อยู่ใน รพ.สนามและอื่น ๆ 88,607 ราย ขณะที่ผู้ป่วยอาการหนักมีจำนวน 3,582 ราย และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจจำนวน 773 ราย

ฉีดวัคซีนเข็ม 1 แล้ว 40.3% ของจำนวนประชากร

ส่วนผู้รับการฉีดวัคซีน ณ วันที่ 19 กันยายน 2564 มีผู้รับการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 จำนวน 109,439 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 146,698 ราย เข็มที่ 3 จำนวน 225 ราย และระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์-19 กันยายน 2564 มีผู้รับวัคซีน สะสมทั้งหมด จำนวน 44,742,049 โดส

ทั้งนี้ มีผู้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้วจำนวน 29 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วน 40.3% ของจำนวนประชากร (ตามตาราง)

ไทยยังรั้งอันดับ 29 ของโลก

ขณะที่สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลก ข้อมูล ณ วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564 เวลา 10.00 น. มียอดผู้ติดเชื้อรวม 229,288,247 ราย อาการรุนแรง 99,018 ราย รักษาหายแล้ว 205,908,941 ราย เสียชีวิต 4,705,461 ราย

อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 1.สหรัฐอเมริกา จำนวน 42,900,906 ราย 2.อินเดีย จำนวน 33,477,819 ราย 3.บราซิล จำนวน 21,239,783 ราย 4.สหราชอาณาจักร จำนวน 7,429,746 ราย 5.รัสเซีย 󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿จำนวน 7,274,928 ราย

ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 29 ของโลก จากจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,489,186 ราย

กทม.ยอดเสียชีวิตลดฮวบ ห่วง 4 จังหวัดภาคใต้

“ผู้เสียชีวิตวันนี้แม้จะลดลง แต่ก็ยังเกิน 100 ราย และถ้าดูรายละเอียดของความเสี่ยง ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มี 74 ราย คิดเป็น 70% ถ้ารวมผู้มีโรคประจำตัวหรือรวมกลุ่ม 608 อีก 25 ราย คิดเป็ดสัดส่วนถึง 93% ต้องฝากเน้นย้ำว่าผู้ที่รับวัคซีน แม้ว่าเข็ม 1 เข็มเดียว จะช่วยลดอัตราป่วยหนัก และเสียชีวิต ก็ขอความร่วมมือทุกจังหวัด พาผู้สูงอายุ และ 8 กลุ่มโรคไปเข้ารับการฉีดวัคซีนด้วย” แพทย์หญิงอภิสมัยกล่าว

สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 12,709 ราย ในวันนี้ กทม.มีแนวโน้มลดลง ในส่วนของ 4 จังหวัดภาคใต้ อยู่ที่ 1,401 ราย ซึ่งถ้าไปดูทิศทางจะเห็นชัดว่า ในส่วนของ กทม.และปริมณฑลมีทิศทางที่ลดลงชัดเจน รวมถึง 48 จังหวัดและในจังหวัดที่ควบคุมเข้มงวดก็มีทิศทางที่ลดลง

“กทม.หลัง ๆ จะไม่มีผู้เสียชีวิตที่บ้าน เพราะศักยภาพเตียงที่จะรองรับ ผู้ป่วยเตียงระดับเขียว เหลือง แดง มีความพร้อมมากขึ้น แต่กราฟที่แสดงความชันสีแดงมี 2 ส่วนด้วยกันคือเรือนจำและ 4 จังหวัดภาคใต้ โดย 4 จังหวัดที่ ศบค.ชุดเล็กประชุมกันและมีความเป็นห่วง นอกจากอัตราผู้ติดเชื้อมีทิศทางที่สูงขึ้นแล้ว อัตราผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตก็สูงขึ้นด้วย และมีรายงานการฉีดวัคซีนค่อนข้างน้อย” แพทย์หญิงอภิสมัยกล่าวและว่า

มีเพียงยะลาจังหวัดเดียวที่ได้รับวัคซีนในกลุ่ม 608 เกิน 70% คงต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระดมฉีดวัคซีนให้มากขึ้น

พบคลัสเตอร์ใหม่ใน ตจว.อื้อ

แพทย์หญิงอภิสมัยกล่าวต่อว่า สำหรับรายงานการติดเชื้อ 10 จังหวัดค่อนข้างคงเดิม โดย กทม.เป็นอีกวันหนึ่งที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ถึง 3 พันราย รองลงมาเป็นจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 942 ราย ชลบุรี 532 ราย ที่เหลือกระจายกันไป (ตามตาราง)

สำหรับจังหวัดอื่น ๆ ที่แม้ว่า จะไม่ได้มีรายงานยอดผู้ติดเชื้อสูงใน 10 อันดับแรก แต่ก็พบการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน ซึ่งที่กรมควบคุมโรครายงานวันนี้จะมีแคมป์คนงานที่จังหวัดปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี ส่วนที่กาญจนบุรีเป็นคลัสเตอร์จับไก่ เป็นชื่อของแคมป์คนงานก่อสร้าง

ส่วนตลาด งานศพจะเป็นที่อุดรธานี เป็นคลัสเตอร์ใหญ่เกิน 200 ราย และหลายจังหวัดที่มีการติดเชื้อในตลาด เช่น สระแก้ว ชัยภูมิ นครศรีธรรมราช และศูนย์ฝึกทหาร นักเรียนทหาร นักบวช จะเป็นที่สตูล

ส่วนชุมชน หมู่บ้าน การรายงานสัมผัสจะพบเป็นคลัสเตอร์ที่หนองบัวลำภู ปัตตานี ยะลา สงขลา อย่างที่เน้นย้ำเป็นการติดเชื้อในครอบครัว ในคนใกล้ชิด คนคุ้นเคย หรือในกลุ่มคนอายุมากและไม่ได้ฉีดวัคซีน

หน่วยงานราชการเป็นเสียเอง

ขณะที่จังหวัดมหาสารคามยังมีรายงานการตั้งวงดื่มเหล้า และที่เคยเน้นย้ำคือที่ลำปางจะเป็นสำนักงานทรัพยากรน้ำ อย่างที่เคยเรียนย้ำว่าหน่วยงานราชการขอให้เข้มงวดมาตรการ โดยเฉพาะในช่วงที่จะมีการเกษียณอายุราชการ มีงานมุทิตาจิต ขอให้หน่วยงานราชการได้เน้นย้ำ

“ในการรายงานของกรมควบคุมโรค ยังมีการรายงานด้วยว่าผู้ติดเชื้อ บางรายทราบผลติดเชื้อแล้ว แต่ยังมีการออกไปใช้ชีวิตในชุมชน ออกไปซื้อข้าวของ รวมทั้งผู้สัมผัสใกล้ชิด ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงก็มีรายงานว่าไม่กักตัวด้วย” แพทย์หญิงอภิสมัยกล่าว

แพทย์หญิงอภิสมัยยังกล่าวอีกว่า ทิศทางการรายงานผู้ติดเชื้อโดยสรุปจะเห็นว่า กทม.และปริมณฑล ตอนนี้มีสัดส่วน 40% ส่วนอีก 71 จังหวัดอยู่ที่ 60% และถ้าให้เห็นภาพประเทศไทยชัดเจนจะเริ่มเห็นพื้นที่สีเขียว สีเหลืองมากขึ้น รวมทั้งวันนี้มีสีขาวอยู่จังหวัดเดียวที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มคือจังหวัดบึงกาฬด้วย และภาคอีสานมีจังหวัดสีเขียวเพิ่มขึ้นมาอีกหลายจังหวัด ได้แก่หนองคาย นครพนม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ส่วนภาคเหนือมีแพร่ พะเยา น่าน”

ขณะที่ภาคใต้เริ่มมีพื้นที่สีเหลืองคือพังงา สตูล และ ประจวบฯ ซึ่งหลาย ๆ จังหวัดเริ่มมีการวางแผนและพัฒนาให้เป็นพื้นที่นำร่องเพื่อที่จะเปิดรับการท่องเที่ยว ซึ่งมีอัตราผู้ติดเชื้อลดลง การเสียชีวิตลดลง การพบคลัสเตอร์ใหญ่ ๆ ลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเปิดพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวได้

กทม.ยังไม่กำหนดวันเปิด “กรุงเทพฯแซนด์บอกซ์”

เช่นเดียวกับ กทม.มีการพูดถึงมากในการพัฒนา เป็นพื้นที่นำร่องเหมือนภูเก็ตแซนด์บอกซ์ คือ กรุงเทพฯแซนด์บอกซ์ ที่จะเป็นการเปิดบ้านเปิดเมืองในวิถีชีวิตใหม่ ซึ่งสิ่งสำคัญจะต้องดูจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นหลักด้วย อย่างเช่น กทม.รายงานวันนี้ ผู้ป่วยใหม่ 2,831 ราย ตัวเลขยืนยันสะสมอยู่ที่ 346,262 ราย

ที่สำคัญ กทม.มีผู้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 1 เกิน 100% หรือมีจำนวน 7.8 ล้านราย คิดเป็น 102% ของจำนวนประชากร ส่วนเข้ม 2 อยู่ที่ 3.2 ล้านราย หรือคิดเป็น 42.57% อีกนิดเดียวก็จะเกิน 50% เป้าหมายของ กทม.จะต้องฉีดเข็ม 2 ให้ครบ 70% ส่วนเข็ม 3 เกือบ 2 แสนรายแล้ว

ในส่วนของเตียงรองรับผู้ป่วยในกทม.ยังเปิดอยู่ 61 แห่ง และยังเปิดได้อีก ตอนนี้มีผู้ที่เข้าไปรักษาตัวมีจำนวน 962 ราย คงเหลือเตียงอยู่ 6,479 เตียง ยังมีศักยภาพรองรับผู้ป่วยได้อีก

ทั้งนี้ ถ้าดูกราฟจะเห็นตัวเลขทิศทางปักหัวลงอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง พี่น้องประชาชนชาว กทม.ก็คงพอเห็นทิศทางว่าการเปิดบ้านเปิดเมืองด้วยทิศทางของกรุงเทพฯแซนด์บอกซ์ เป็นไปได้แน่นอน อย่างไรก็ตามที่ประชุม ศปก.ศบค. วันนี้ รองผู้ว่าฯกทม.แจ้งว่า กรุงเทพฯแซนด์บอกซ์ยังไม่ได้กำหนดวันเปิด

โดย กทม.แจ้งว่าคน กทม.จะต้องได้รับวัคซีนเข็ม 2 เกิน 70% และอัตราผู้ติดเชื้อรายวันจะต้องมีทิศทางลดลงอย่างต่อเนื่องด้วย รวมถึศักยภาพเตียงรองรับหากมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นมา ซึ่ง กทม.ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ขนส่งสาธารณะ เพื่อเตรียมการในบางส่วนแล้ว

สธ.ชงปรับมาตรการเพิ่มให้ ศบค.ชุดใหญ่ 27 ก.ย.

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่อื่น ๆ เช่น จ.เชียงใหม่ จะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มประมาณเดือน พ.ย. เกิน 70% ซึ่ง สธ.รายงานว่าเชียงใหม่มีอัตราติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการพิจาณเป็นพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวก็น่าจะเป็นไปได้

แพทย์หญิงอภิสมัยกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอมาตรการต่าง ๆ เข้าสู่ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ในวันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564 นี้ สิ่งที่อยากเน้นย้ำคือ ทุก ๆ ผู้ประกอบการจะไม่ถูกหลงลืม มีการนำมาพูดคุยในที่ประชุมไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนต์ สถานบันเทิงต่างๆ ตอนนี้เพียงแต่ขอให้เป็นการค่อย ๆ เปิด เป็นไปอย่างมั่นคงและปลอดภัย ค่อยเป็นค่อยไป

“ใครพร้อมเปิดก่อน ถ้ายังไม่พร้อมยังไม่ต้องรีบ หากอำเภอไหนพร้อมแล้วทำได้ แต่ทำหลาย ๆ อำเภออถ้ายังไม่พร้อมก็รอก่อน อย่างนี้เป็นต้น หากทุก ๆ ท่านให้ความร่วมมือ ในระยะยาวเราก็จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้แน่นอน” แพทย์หญิงอภิสมัยกล่าวในตอนท้าย

ย้อนดูแผนคลายล็อก-เปิดธุรกิจ “ระยะ 3”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ตัวแทน 9 สมาคมภาคธุรกิจได้ยื่นหนังสือเสนอรัฐบาลให้เปิดคลายล็อก 3 ระยะด้วยกัน โดยระยะที่ 1 คือวันที่ 1 ก.ย.  ระยะที่ 2 วันที่ 15 ก.ย. และระยะที่ 3 คือวันที่ 30 ก.ย. 2564

สำหรับแผนระยะที่ 1 ได้แก่ เปิดธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มนั่งรับประทานที่ร้าน ร้อยละ 50 และเปิดธุรกิจก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน คลินิกทันตกรรม ร้านนวด สปาเฉพาะนวดเท้า คลินิกเวชกรรม ธุรกิจเสริมสวยงดเว้นบริเวณใบหน้า ธุรกิจไอทีอุปกรณ์สื่อสารและไฟฟ้า อาคารสำนักงาน ธุรกิจบริการ เช่น ล้างรถ ซ่อมกุญแจ ไปรษณีย์ เบ็ดเตล็ด เช่น ร้านตัดแว่น สนามกอล์ฟ และกีฬากลางแจ้ง

ส่วนระยะที่ 2 เป็นการเปิดธุรกิจร้านอาหารแบบนั่งรับประทานที่ร้าน ร้อยละ 75 รวมถึงธุรกิจเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และสถาบันการศึกษา

ระยะที่ 3 ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหารแบบนั่งรับประทานเต็มรูปแบบ 100% ธุรกิจประกอบการสุขภาพและสปา เครื่องเล่นเด็ก และผู้ใหญ่ ธุรกิจฟิตเนส และออกกำลำลังกายในร่ม ธุรกิจโรงภาพยนตร์ และห้องจัดเลี้ยง เป็นต้น