
คอลัมน์ : คุยกับเอกราช ผู้เขียน : เอกราช เก่งทุกทาง
แมนฯซิตี้กับลิเวอร์พูลสู้กันดุเดือด เหมือนนัดชิงบอลถ้วยเกมที่จบเสมอ 2-2 มองเผิน ๆ เหมือนหงส์แดงเสียโอกาส ปล่อยให้ซิตี้หลุดมือไป แต่ที่จริงแล้วมันตรงกันข้าม
เรือใบสีฟ้าต่างหากที่ปล่อยหงส์ให้ลอยนวล
ซิตี้เล่นดีขนาดนี้ แถมขึ้นนำก่อน 2 หน แต่ยังไม่ชนะ แทบเป็นเรื่องไม่เคยเห็น กุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า วางแผนมาถูกเกือบทุกข้อ เป๊ปจัดแท็กติกเพื่อลงไปฆ่าลิเวอร์พูล ส่งฟิล โฟเด้น, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, กาเบรียล เชซุส ลงตัวจริงพร้อมกันแบบพลิกโผ เพราะปกติซิตี้จะไม่วางกองหน้าเพื่อแลกหมัดตั้งแต่แรก ไม่เปิดไพ่เร็วอย่างที่เห็น
โฟเด้นกับเชซุสป่วนแบ็ก 2 ข้างหงส์แดงจนออกอาการ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน หัวหมุน กับเกมรับ จนเติมเกมรุกแทบไม่ได้
พอสองคนนี้บุกไม่ขึ้น ลิเวอร์พูลก็แขน ขาด้วน เล่นผิดฟอร์มไปหมด
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป หลังจากซาดิโอ มาเน่ ตีเสมอ 2-2 แค่ 46 วินาทีแรกของครึ่งหลัง
มาเน่ยิงลูกนี้ฉลองวันเกิดอายุ 30 ปี และอาจเป็นประตูสำคัญสุดในชีวิต
ลิเวอร์พูลกลับมาสู่เกม ขณะที่แมนฯซิตี้หลุดจากเกม เล่นในจังหวะของตัวเองแบบครึ่งแรกไม่ได้
นอกจากตีเสมอเร็ว กุนซือ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังคิดถูก ที่เน้นให้เก็บบอล พิถีพิถันกับบอล ดึงเกมช้าลงเพื่อความแน่นอน จุดนี้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา หยุดความหวือหวาของเจ้าบ้าน
คล็อปป์ไม่โง่ฝืน รู้แก่ใจว่าเกมนี้ยากมาก เสี่ยงมาก ดันทุรังบุกแลกกันไป มีสิทธิแพ้สูง สู้เล่นเอาชัวร์ ชนะไม่ได้ก็ขอไม่แพ้ไว้ก่อน เก็บ 1 แต้มกลับบ้านดีกว่า
ย้ำอีกทีว่า หัวใจของเกมนี้คือ ลิเวอร์พูลได้ 1 แต้มใหญ่ ไม่ใช่ทำแต้มหลุดไปสอง เพราะไม่ชนะนะครับ
การตามหลังแมนฯซิตี้ 1 คะแนน เมื่อเข้าสู่ 7 นัดสุดท้าย ต่างกันคนละโลกกับการโดนทิ้ง 4 แต้ม หงส์แดงยังมีลุ้นแน่นอน โอกาสเป็นแชมป์ก็เท่าเดิม ไม่ได้ตกหล่นไปไหน
7 นัดสุดท้าย ลิเวอร์พูลอาจจะหนักที่เจอทั้งแมนฯยูฯ เอฟเวอร์ตัน สเปอร์ส แถมยังต้องบุกเยือนนิวคาสเซิ่ล กับวิลล่า ซึ่งไม่ง่ายอีกเหมือนกัน
แต่แมนฯซิตี้เองก็ต้องเยือนลีดส์ กับเวสต์แฮม เป็นสองเกมเสี่ยงที่วางใจไม่ได้
ผมเชื่อว่า 7 นัดสุดท้ายคงยากจะชนะรวดทั้งคู่ จุดพลิกผันซุ่มดักรอข้างหน้า อยู่ที่ว่าทีมไหนจะเสียท่าก่อนเท่านั้นเอง
ลุ้นกันต่อ นัดต่อนัด นาทีต่อนาที