ทรู ช่วย “เอ้ก ดิจิทัล” อัพสปีดธุรกิจค้าปลีกตอบโจทย์ลูกค้า

“ทรู” จับมือ “เอ้ก ดิจิทัล” เสริมศักยภาพธุรกิจค้าปลีกด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล จัดงาน Lotus’s X hatch by EGG Digital Summit 2022 ใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลในมือพัฒนาการขายให้ตรงใจลูกค้า

วันที่ 6 กันยายน 2565 รายงานข่าวจากกลุ่มทรูเปิดเผยว่า ได้ร่วมกันกับบริษัท เอ้ก ดิจิทัล จัดงาน Lotus’s X hatch by EGG Digital Summit 2022 : The Co-Creation Power เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในธุรกิจค้าปลีก ทั้งการใช้สื่อต่าง ๆ ภายในห้างค้าปลีก ร่วมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อคู่ค้า และลูกค้า มีส่วนของสื่อที่เป็น Transit moment หรือ out of home moment

ผ่านสื่อประเภท Digital Pylon sign (Digital Billboard) เป็นครั้งแรก เริ่มที่โลตัส สุขุมวิท 50 และจะขยายจนครบ 26 แห่ง ภายในครึ่งปีแรกของปี 2566

ดร.ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) สายงาน AI, Analytics & Communication บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า

เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ ร่วมกับความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล (AI & Data Analytic Capability) จึงร่วมกับบริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด (EGG Digital) บริษัทไทยที่ทำธุรกิจด้าน Customer Data และ Media Company พัฒนาธุรกิจค้าปลีกร่วมกัน ด้วยการนำ AI&Data มาใช้เป็นจุดเชื่อมให้ลูกค้าได้ประโยชน์จากข้อมูลที่เกิดจากการจับจ่ายใช้สอยจริง

“เมื่อมีโลตัสเป็นพาร์ตเนอร์ ทำให้มีข้อมูลลูกค้าจากการใช้จ่ายจริง รู้อุปนิสัยการจับจ่าย ว่าลูกค้าชอบสินค้าอะไร โปรโมชั่นแบบไหน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นำมาพัฒนาการขายให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้

ภายใต้ข้อบังคับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA เป็นการร่วมกันใช้ AI&Data เป็นจุดกลางในการพูดคุย และวางกลยุทธ์ระยะยาวร่วมกัน ทั้งช่องทางการขายแบบออฟไลน์และออนไลน์ การคัดเลือกสินค้ามาขายให้ตรงพฤติกรรมจริงของผู้บริโภค และสื่อตามจุดต่าง ๆ ในห้าง ที่ใช้ AI & Data ช่วยหาจังหวะที่เหมาะสมในการสื่อสารตามจุดประสงค์ของแบรนด์

โดย เอ้ก ดิจิทัล ได้นำประสบการณ์ด้าน Analytics ระดับโลกมาปรับใช้ เพราะอุปนิสัยของลูกค้าชาวไทยต่างจากชาวต่างชาติ ระบบการจับความคล้ายคลึงของกลุ่มลูกค้าจึงต้องปรับให้เข้ากับคนไทยด้วย ซึ่งจะเน้นใน 4 เรื่อง ได้แก่ Analytics-as-a-Service (AaaS) การพัฒนาการวิเคราะห์ข้อมูลนำไป Plug and Play กับทุกบริษัทที่ต้องการใช้งาน ขณะที่ Hyper-Personalization เป็นส่วนที่เข้าถึงลูกค้าได้มากกว่า นำไปสู่ Customer Centricity การสร้างประสบการณ์ที่ดีเพื่อรักษาลูกค้า และ AI Embedded Everywhere

“ใน 2 ปีที่ผ่านมา รีเทลเลอร์ปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของการขาย ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ขณะที่ลูกค้าเองก็เปลี่ยนไปตั้งแต่โควิด หันมาใช้ฟาสต์ดีลิเวอรี่แทน ปัจจุบัน ลูกค้าคนไทยทั้งออฟไลน์และออนไลน์ที่มีกว่า 45.6 ล้านราย

พบว่ามีการใช้จ่ายมากกว่าปกติ 2 เท่า โดยเฉพาะ Gen Z ที่รับรู้ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย ถัดมาเป็นกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ Gen X และมิลเลนเนียม ซึ่งกว่า 70% กังวลการอยู่ในพื้นที่แออัด เป็นเหตุผลที่ทำให้การขายตรงผ่านออนไลน์ประสบความสำเร็จมาก แต่หลังโควิดผ่านไป ค่าส่งจะแพงขึ้น ค่าใช้จ่ายของคนขายจะเพิ่มตาม ขณะที่แบรนด์ก็มีเพิ่มขึ้นด้วย”

จากข้อมูลของ เอ้ก ดิจิทัล คาดการณ์ว่าหลังเปิดประเทศแล้ว คนส่วนใหญ่ยังติดกับการอยู่บ้าน แต่สิ่งที่จะเติบโตต่อเนื่อง คือสินค้ากลุ่ม Health and Beauty, Home Care จากการแชร์ไลฟ์สไตล์ที่เน้นการใช้งานจริงมากขึ้น 

อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ เครื่องปรุงอาหาร ลูกค้ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้น และ Omni Channel ที่ผสมผสานช่องทางการสื่อสารกับลูกค้า ทั้งออฟไลน์และออนไลน์จะขึ้นกว่า 8 เท่า แต่ต้องตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่องทางการสื่อสารแบบ Multiple Devices คือใช้ได้ทั้งในคอมพิวเตอร์ มือถือ และแท็บเลต ถัดมาคือ Personalization ที่ทรูสามารถสร้างการเติบโตผ่าน Omni Channel เพิ่มได้มากกว่า 3 เท่า ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นด้วย

“ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเริ่มพัฒนากับโลตัสผ่านการจับจ่ายของลูกค้าทั่วไป และแอปพลิเคชั่นของลูกค้าที่เป็นสมาชิก ก่อนขยายไปสู่ธุรกิจส่วนอื่นในเครือ รวมถึงมีความร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ที่ Plug and Play ได้ทันที”