5 สิ่งที่ต้องรู้ หลัง iPhone 15 เปลี่ยนมาใช้พอร์ต-สาย USB-C

5 สิ่งที่ต้องรู้ หลัง iPhone 15 เปลี่ยนมาใช้พอร์ต-สาย USB-C

เกร็ดความรู้หลัง iPhone15 ทุกรุ่นเปลี่ยนมาใช้มาตรฐาน USB-C ส่งผลให้อุปกรณ์ Apple ใช้ช่องเชื่อมต่อแบบเดียวกับอุปกรณ์รุ่นอื่นทั่วโลก

แม้ว่า Apple ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีได้เริ่มใช้มาตรฐานช่องเชื่อมต่อ (พอร์ต) ที่ใช้ในการชาร์จและการถ่ายโอนข้อมูลในอุปกรณ์อื่นๆ ทั้ง iPad และ Macbook มานานแล้ว สิ่งที่หลายคนจับจ้องคือ iPhone จะเปลี่ยนช่องชาร์จ Lightning ของตัวเองเมื่อไหร่ เพราะจะทำให้อุปกรณ์ของ Apple เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของตน และของรุ่นอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น

เมื่อมีการเปิดตัว iPhone15 ทั้ง 4 รุ่นเมื่อ 12 ก.ย. 2566 ได้แก่ iPhone15, iPhone15+, iPhone15 Pro และ iPhone15 Pro Max ถือว่าปิดฉากตำนานสายชาร์จและพอร์ต Lightning ที่ Apple ใช้มาตั้งแต่ปี 2012 และส่งผลให้อุปกรณ์อื่นๆ ที่จะถูกผลิตหลังจากนี้อยู่ในมาตรฐานและใช้สายเคเบิลแบบเดียวกันทั่วโลก

การเปลี่ยนแปลงนี้สำคัญในหลายประเด็น ทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ Apple มักถูกกล่าวหาว่าสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่จำเป็นจากการไม่ยอมเปลี่ยนเป็นสาย USB C สักที หรือประเด็นเรื่องการสร้างรายได้จากสาย Lightning มูลค่ามหาศาล หรือประเด็นเชิงเทคนิกและประสิทธิภาพของสาย-พอร์ต USB C

“ประชาชาติธุรกิจ” จึงรวมรวมเกร็ดที่เกี่ยวกับ Lightning และ USB C มาดังนี้

1. Apple ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นสาย-พอร์ต

ประเด็นนี้เกิดจาก ปัญหาเรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ถูกทิ้งซึ่งมีส่วนประกอบไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ทีวี และแบตเตอรี่ ตามรายงานของ Global E-waste Monitor 2020 รายงานขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ 53.6 ล้านเมตริกตันถูกสร้างขึ้นทั่วโลกในปี 2019 และมีเพียง 17.4% เท่านั้นที่ได้รับการรีไซเคิลอย่างเหมาะสม

หนึ่งในสาเหตุของปัญหานี้คือสาย Lightning ซึ่งเป็นขั้วต่อที่เป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งอุปกรณ์ Apple ใช้มาตั้งแต่ปี 2012 สาย Lightning ได้รับการออกแบบมาให้เข้ากันไม่ได้กับมาตรฐานอื่นๆ เช่น USB-C หรือ micro-USB ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะต้องซื้อสายเคเบิลหรืออะแดปเตอร์ใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนอุปกรณ์หรืออัพเกรดฮาร์ดแวร์

Apple มักโดนโจมตีว่าสายเคเบิล Lightning มีแนวโน้มที่จะสึกหรอ และมักจะใช้งานไม่ได้หลังจากใช้งานไป 2-3 เดือน สิ่งนี้นำไปสู่ของเสียมากขึ้นและต้นทุนที่มากขึ้นสำหรับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Apple และผู้คนในแวดวงเทคโนโลยีก็ได้ถกเถียงกันเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานและความทนทานของสายมายาวนาน

เมื่อปี 2018 คณะกรรมาธิการยุโรปหยิบยกประเด็นขยะอิเล็กทรอนิกส์มาพูด โดยเฉพาะเรื่องสายชาร์จที่สร้างขยะกว่าหมื่นตันต่อปี และน่าจะลดขยะเหล่านี้ได้โดยการส่งเสริมให้ใช้สายแบบเดียวกันทดแทนกันได้

จากการศึกษาและประเมินผลกระทบของคณะกรรมาธิการยุโรปที่ดำเนินการในปี 2019 พบว่า สายชาร์จที่จำหน่ายพร้อมกับโทรศัพท์มือถือมีขั้วต่อ USB micro-B 50%, สายชาร์จขั้วต่อ USB-C 29% มี และสายชาร์จขั้วต่อ Lightning 21%

ดังนั้น จึงเริ่มคิดว่าควรให้มีการใช้สายเคเบิลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ใช้ทดแทนกันได้ทุอุปกรณ์ เมื่อเทียบและมาตรฐาน USB C แล้ว จึงควรให้ใช้ USB C เป็นมาตรฐานหลัก เวลานั้น Apple เตือนว่าการบังคับให้เปลี่ยนพอร์ตชาร์จเป็นการยับยั้งนวัตกรรมและมีส่วนในการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากผู้บริโภคต้องถูกบังคับให้เปลี่ยนสายชาร์จใหม่

ในช่วงปี 2021-2022 สหภาพยุโรป รัฐสภายุโรปโหวตอย่างท่วมท้นเพื่อสนับสนุนที่ชาร์จทั่วไป โดยอ้างถึงการสูญเสียสิ่งแวดล้อมที่น้อยลง และคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้ใช้งานเป็นหลัก บีบบังคับให้ Apple ต้องเปลี่ยนสาย Lightning ดั้งเดิมของตนเป็น USB C ภายใน เดือนธันวาคม 2024

จึงกล่าวได้ว่า Apple เปลี่ยนมาตรฐานพอร์ต-สายชาร์จเป็น USB C เร็วกว่ากำหนด

2. การเปลี่ยนสายเป็น USB C จะกระทบรายได้ราว 150,000 ล้านบาท

Apple มีวิธีการผลิตอุปกรณ์เสริม โดยการกำหนดมาตรฐาน MFi (Made For iPhone) ให้กับโรงงานหรือบริษัทที่เข้ามาผลิตส่วนเสริมเหล่านี้ให้ โดยเฉพาะการผลิตพอร์ต Lightning ทั้งตัวรับ และ หัวชาร์จ (ตัวผู้ตัวเมีย) บริษัทที่นำเอามาตรฐานของ Apple ไปผลิตเพื่อจำหน่าย จะต้องจ่ายให้ Apple ราวปีละ 3,000 บาท และค่า Factory Audit อีกราว ครั้งละประมาณ 70,000 บาท และจะได้รับส่วนแบ่ง 20-25% จากการขายอุปกรณ์เสริมของบริษัทที่รับผลิตที่ใช้สัญลักษณ์ MFi

หากรวมรายได้จากการขายสายชาร์จ Lightning ของ Apple เองด้วย ทำให้ Apple มีรายได้จากการขาย และส่วนแบ่งจากลิขสิทธิ์ MFi ราวปีละ 150,000 ล้านบาท

ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนมาตรฐานช่อง หรือ พอร์ต และสายชาร์จ ทำให้สายชาร์จทุกรุ่นสามารถใช้ร่วมกับ Apple ได้ ไม่ต้องพึ่งพาสายที่ใช้เฉพาะอุปกรณ์ของ Apple หรือมาตรฐาน MFi เหมือนเดิมแล้ว จึงอาจกระทบกับรายได้มหาศาลตรงนี้

3. เปลี่ยนพอร์ต USB-C ทำให้อุปกรณ์ถ่ายโอนข้อมูลเร็วขึ้นในอนาคต

USB-C หรือ Universal Serial Bus Type-C เป็นตัวเชื่อมต่อมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ มาพร้อมกับการออกแบบ 24 พินแบบสมมาตร ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเสียบด้วยวิธีใดก็ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าด้านใดหงายขึ้น และเป็นตัวเชื่อมต่อมาตรฐานอุตสาหกรรม มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในผู้ผลิตและอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงแล็ปท็อป สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เสริม

นอกจากเข้ากันกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างกว้างขวางแล้ว ยังได้รับความเร็วที่เร็วขึ้นเป็น 10Gbps ด้วยมาตรฐาน USB 3.1 ที่ใหม่กว่าอีกด้วย

Apple การเปลี่ยนมาใช้ iPhone ที่มี USB-C หมายถึงสายเคเบิลเส้นเดียวสำหรับอุปกรณ์ Apple ทั้งหมด (Mac, iPad, AirPods Pro รุ่นที่ 2 ฯลฯ) และเชื่อมต่อโทรศัพท์ Android ได้ง่ายขึ้น ถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้น (iPhone 15 Pro/ Pro Max และอุปกรณ์ในอนาคต) การชาร์จที่เร็วขึ้น (USB 3.0 ช่วยให้เอาต์พุตเร็วขึ้น) รองรับจอแสดงผลภายนอก

4. Apple ให้พอร์ต USB มาไม่เท่ากัน

iPhone ทั้งสี่รุ่นที่เปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ไม่ได้ให้พอร์ต USB-C ที่เท่ากัน

มีเพียง iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max เท่านั้นที่มีพอร์ต USB-C 3 (ด้วยความเร็วสูงสุด 10Gbps) iPhone 15 และ iPhone 15 Plus มาพร้อมกับ USB-C 2 รุ่นเก่า (ด้วยความเร็วสูงสุด 480Mbps) แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ส่งผลต่อความเร็วในการชาร์จ แต่จะส่งผลต่อการถ่ายโอนข้อมูล

อย่างไรก็ตาม USB Type-A, Type-B และ Type-C เป็นเพียงประเภทตัวเชื่อมต่อเท่านั้น พอร์ตเหล่านี้ยังแบ่งย่อยได้หลายรุ่น เช่น USB 2.0, USB 3.0, USB 3.1 ฯลฯ ซึ่งแต่ละเวอร์ชันจะมีกำลังขับและอัตราการถ่ายโอนข้อมูลเพิ่มมากขึ้น

iPhone 15 และ iPhone 15 Plus มาพร้อม USB-C 2.0 ซึ่งเข้ากันกับ Lightning Connector บน iPhone รุ่นล่าสุด (iPhone 14, 13, 12-series ฯลฯ)

ในทางกลับกัน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ที่มี A17 Bionic มีความเร็ว USB-C 3 ที่เร็วกว่าเพื่อถ่ายโอนภาพ ProRAW และวิดีโอ 4K ไปยัง Mac ได้อย่างรวดเร็ว

โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 15 Pro, Pro Max ซึ่งมีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 สามารถถ่ายโอนข้อมูลในอัตราสูงสุด 10Gbps หรือ 1.25GBps และมีความเข้ากันได้กับอุปกรณ์เสริม USB 2.0 รุ่นที่เก่ากว่า

ข้อมูลด้าน Gadget ระบุว่า USB 3.2 Gen 1 เหมือนกับ USB 3.1 Gen 1 และ USB 3.0 ในทำนองเดียวกัน USB 3.2 Gen 2 ก็เหมือนกับ USB 3.1 Gen 2 และ USB 3.1

USB 3.0 = USB 3.1 รุ่นที่ 1 = USB 3.2 รุ่นที่ 1 = (5Gbps)
USB 3.1 = USB 3.1 รุ่นที่ 2 = USB 3.2 รุ่นที่ 2 (10Gbps)
USB-C บน iPhone 15 Pro/ Pro Max ยังรองรับเอาต์พุต DisplayPort อีกด้วย

ดังนั้นการรองรับความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลระดับ 10Gbps จะเกิดกับ iPhone 15 Pro และ Pro Max เท่านั้น และสายเคเบิล USB ปัจจุบัน สาย USB-C ของ Apple 60W และ 240W ยังรองรับความเร็ว USB 2 เท่านั้น ยังไม่รองรับการถ่ายโอนข้อมูลระดับ 10Gbps ต้องใช้สาย Thunderbolt 4 ซึ่ง Apple จำหน่ายแยกต่างหากในราคา 69 ดอลลาร์หรือราว 2,400 บาท

5. มือถือแอนดรอยด์ ก็ได้ความเร็วเท่ากับ iPhone15 ตัวธรรมดา

หลังการเปิดตัว iPhone 15 กับพอร์ต USB ทำให้ Apple โดนข้อครหาว่าไหนๆ ก็เปลี่ยนเป็น USB แล้ว ยังไม่ให้สาย USB 3 มาด้วย ให้แค่ความเร็ว USB 2 เท่านั้น ซึ่งความจริง ณ ปัจจุบัน มือถือทุกรุ่นจากฝั่งแอนดรอยด์ แม้จะใช้ USB C มายาวนานแล้ว ก็ให้พอร์ต USB 2 เช่นเดียวกับ iPhone15 และ 15+

iPhone 15 ทุกรุ่นมาพร้อมกับสายชาร์จเร็ว USB-Type รองรับ USB 2.0 เท่านั้น แม้ว่าคุณจะซื้อ iPhone 15 Pro หรือ Pro Max คุณจะไม่ได้รับความเร็วการถ่ายโอน USB 3 การเปิดใช้งาน USB 3.0 บน iPhone 15 Pro/ Pro Max ความเร็ว 10Gbps ต้องซื้อสาย Thunderbolt 4 แยกต่างหาก

สาย Thunderbolt 4 ใหม่อาจดูมีราคาแพง เนื่องจากรองรับการถ่ายโอนข้อมูลของ USB 4 ได้สูงสุด 40Gb/s, ถ่ายโอนข้อมูล USB 3.2 สูงสุด 10Gb/s, เอาต์พุตวิดีโอ DisplayPort (HBR3) และชาร์จสูงสุด 100W หรือไม่ก็ต้องมองหาสาย USB-C 3 ของบริษัทอื่นที่รองรับอัตราการถ่ายโอน USB 3.1 หรือ 10Gbps ในราคาที่ย่อมเยาลงมาจากการซื้อจาก Apple