
ผ่านไปแล้ว 3 เดือนสำหรับการทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” กับการเคลียร์พื้นที่ ปูทางสร้าง Growth Engine of Thailand ให้ “ดิจิทัล” เป็นเครื่องยนต์ที่ 5 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แบ่งเป็น 3 เครื่องยนต์ย่อย คือ “โครงสร้างพื้นฐาน”, “ความมั่นคงปลอดภัย” และ “ทุนมนุษย์” โดยมีภารกิจ Quick Win สร้างความน่าเชื่อถือ และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่กำลังเป็นปัญหาที่กระทบชีวิตประชาชนที่สุด
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “รมต.ประเสริฐ” ดังนี้
Quick Win มือปราบไซเบอร์
รัฐมนตรีดีอีกล่าวว่า งานในอนาคตเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายของกระทรวงดีอี และอยู่ในแผนระยะ 3 ของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยต้องเปลี่ยนไปเป็นรัฐบาลดิจิทัล แต่เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ดังนั้นผลงาน 90 วัน มี 9 เรื่อง โดย 4 เรื่องแรกเป็นเรื่องการสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ได้แก่ 1.ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 เป็น One Stop Service แก้ปัญหาออนไลน์สำหรับประชาชน ให้บริการ 24 ชม. ใช้ติดตามสถานการณ์ สั่งการ ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ บูรณาการข้ามหน่วยงานตามกฎหมายใหม่ คือ พ.ร.ก.อาชญากรรมไซเบอร์
2.การปิดกั้นเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายและเว็บพนัน ที่รัฐมนตรีให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการสำรวจ-คัดกรองเว็บเถื่อน ด้วยเทคโนโลยีและสั่งปิดได้เร็วขึ้น ส่งผลให้ 1 ต.ค.-10 ธ.ค. 2566 ปิดกั้นเว็บไซต์หรือเพจผิดกฎหมายโดยรวมทุกประเภท สูงถึง 25,061 เว็บไซต์/เพจ เพิ่มขึ้น 10.0 เท่าเทียบปีก่อน ปิดได้ 2,567 เว็บไซต์/เพจ ในช่วง1 ต.ค.-10 ธ.ค. 2566 ปิดกั้นเว็บพนันออนไลน์ถึง 4,592 เว็บไซต์ เพิ่ม 17.5 เท่า เทียบปีก่อน ปิดได้ 248 เว็บไซต์
3.แก้ปัญหาการซื้อขายข้อมูล และการหลุดรั่วของข้อมูลประชาชน มีการตั้งศูนย์ Eagle Eye เริ่มตรวจสอบมาตรการคุ้มครองข้อมูลภาครัฐก่อนขยายไปยังเอกชน หากพบว่าภาครัฐไม่มีการดำเนินการปกป้องข้อมูล จะเข้าข่าย ม.157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่
และ 4.แก้ปัญหาซิมม้า เร่งสางต้นตอปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ด้วยการจัดการฐานข้อมูลเลขหมายใหม่ และตรวจจับความผิดปกติจากการโทร.เข้าโทร.ออกเกิน 100 สายต่อวัน ระงับทันที และเร่งรัดการยืนยันตัวตนผู้ถือครองซิมการ์ดเกิน 5 เลขหมายขึ้นไป โดยนำ พ.ร.ก.อาชญากรรมไซเบอร์ 2565 มาบังคับใช้ และผลักดัน กสทช. ซึ่งมีอำนาจในการสั่งลงทะเบียนซิมเร่งออกประกาศให้ทันนโยบาย ล่าสุด กสทช.อนุมัติร่างประกาศยืนยันตัวตนผู้ใช้มือถือใหม่ไปรอลงราชกิจจา นุเบกษา
“ทำงานมา 3 เดือน เหมือน 3 ปี ซึ่งผู้บริหารและพนักงานทุกคนให้ความร่วมมือดีจนเริ่มมีความคุ้นเคยเหมือนอยู่มานาน ที่สำคัญการเร่งสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะซิม ม้าเป็นเรื่องที่นายกฯและ ครม.เร่งทุกครั้งที่ประชุม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน”
และเครื่องยนต์ที่สองของ The Growth Engine of Thailand คือ เรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
รัฐบาลดิจิทัล “คลาวด์-เอไอ”
“การทำโครงสร้างเศรษฐกิจภายใต้แผนงาน The Growth Engine of Thailand แกนที่สำคัญมาก คือวางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ทั้งโครงข่าย 5G และยูสเคสต่าง ๆ ลดความยุ่งยากในการใช้ National Digital ID รองรับเศรษฐกิจยุค AI ซึ่งต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ปลอดภัยและทันสมัย”
นายประเสริฐกล่าวว่า นายกฯได้เร่งขับเคลื่อนนโยบาย Go Cloud First ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์จากระดับเดิม คือ จากคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ไป Cloud First ต่อ ด้วยเทคโนโลยีคลาวด์-ดาต้าเซ็นเตอร์สมัยใหม่ช่วยให้ภาครัฐงบฯลดลง 30-40% เนื่องจากลดจำนวนเซิร์ฟเวอร์ของหน่วยงานมากกว่า 8,000 หน่วย
ระบบคลาวด์กลางภาครัฐที่เดิมบริหารจัดการโดย GDCCเป็นเทคโนโลยีรุ่นเก่า หากต้องการเทคโนโลยีHyper Scaler ต้องพึ่งพาการลงทุนจากคลาวด์ยักษ์ใหญ่ต่างประเทศ เพื่อเอื้อให้เกิดการประมวลผลระดับสูง เพราะในอนาคตต้องใช้เอไอมาเชื่อมต่อเพื่อให้มีความแม่นยำในการทำงานในภาครัฐ อีกจุดสำคัญ คือ ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลต้องสนับสนุนคลาวด์ของเอกชน
“ต่างชาติ มี AWS ลงทุน 1.5 แสนล้านบาท มีการลงนามและศึกษากับที่อื่น เช่น ร่วมกับ Google, Microsoft และ Huawei แม้แต่ฝั่งเอกชนในประเทศอย่าง iNet หรือนิภาคลาวด์ ก็เข้ามาเจรจา เพื่อเพิ่ม Capacity ทำให้ราคาถูกลง หวังว่าในระยะอันใกล้จะคืบหน้ามากขึ้น โดย ม.ค.ปีหน้า จะมีการพิจารณางบฯปี’67 ให้ สดช. รวมถึงพิจารณาเงินช่วยเหลือกองทุนดีอีมีการเพิ่มงบฯและเครื่องมือช่วยให้ดีขึ้น”
ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ขยายโอกาส
“ประเสริฐ” เน้นย้ำแนวคิดรัฐบาลในการทำนโยบาย ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ขยายโอกาสว่าคือ การปราบอาชญากรรมทางไซเบอร์เป็นการปูทางสร้างความเชื่อมั่น การดึงเอกชนมาร่วมลงทุนเทคโนโลยีทำให้การใช้งานเทคโนโลยีใหม่มีราคาถูกลง ส่งผลให้เกิดการต่อยอดทางเศรษฐกิจ แต่ในส่วนเอสเอ็มอีและเกษตรกร ทำอย่างไรให้เข้าถึงเทคโนโลยีได้
2 ใน 9 ผลงาน เป็นเรื่อง “ขยายโอกาส” ทางเศรษฐกิจด้วยดิจิทัล คือ 1.One Tambon One Digital (OTOD) ชุมชนโดรนใจ มีเป้า 500 ชุมชน ในปี 2567 ประยุกต์ใช้โดรนเพื่อการเกษตร ให้บริการกว่า 4 ล้านไร่ทั่วประเทศ ยกระดับทักษะเกษตรกรกว่า 1,000 คน เกิดธุรกิจบริการโดรน 50 ชุมชน เกิดอาชีพใหม่ช่างโดรนชุมชน และศูนย์สอบอนุญาตการบินโดรน 5 ภูมิภาค มีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาท เป็นต้น
2.สนับสนุน Startups และ SMEs ด้วยบัญชีบริการดิจิทัลและมาตรการทางภาษี โดยบัญชีบริการดิจิทัล เป็นตัวช่วยคัดกรองสินค้าและบริการดิจิทัลที่มีคุณภาพ ในราคาสมเหตุสมผล ช่วยให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม มีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ ปัจจุบันมีสินค้าและบริการที่ได้รับการรับรอง 132 รายการ จากผู้ประกอบการดิจิทัลไทย 13 บริษัท ส่วนมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
พัฒนาทักษะ “คน”
“การแก้ภัยไซเบอร์ การวางโครงสร้างดิจิทัล คลาวด์-เอไอ และมาตรการกระตุ้นใช้เทคโนโลยี เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส เป็นการทำงานระยะสั้น และระยะกลาง แม้แต่การแก้ไขระเบียบกฎหมายก็ไม่ได้ยั่งยืนนัก การลงทุนของเอกชนต่างชาติส่วนหนึ่งเพื่อให้มาช่วยสร้างทักษะความสามารถในการใช้เทคโนโลยีให้เรา เพราะถ้าเทคโนโลยีก้าวกระโดดไปไกล แต่คนตามไม่ทัน จะเป็นปัญหาในระยะยาว”
ปัจจุบันไทยต้องการแรงงานดิจิทัลราว 1 แสนคนต่อปี แต่ผลิตได้เพียง 2.5 หมื่นคนเท่านั้น กระทรวงดีอีแบ่งการพัฒนาคนเป็น 2 ระยะ ระยะสั้นนำเข้าแรงงานมีทักษะ ผลักดันโครงการ Global Digital Talent Visa (GDT Visa) ดึงดูดคน 1.ผู้ที่จบการศึกษา รวมถึงผู้ที่กำลังศึกษาด้านดิจิทัลจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ 600 แห่งทั่วโลก 2.ผู้ที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีเป็นหลักในอุตสาหกรรมดิจิทัล และทำงานได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต โดยต่างชาติที่ได้รับ GDT Visa จะได้สิทธิพำนัก ทำงานพร้อมวีซ่า 1 ปี ให้คู่สมรสและบุตรได้รับวีซ่าผู้ติดตามไปพร้อมกันได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
ในระยะยาว นอกจากต้อง “รีสกิล-อัพสกิล” คนทั่วไป แรงงาน ทั้งทักษะและการรู้เท่าทันเอไอ-ดิจิทัลแล้ว ยังต้องฝังเมล็ดพันธุ์ดิจิทัลตั้งแต่เด็ก เช่น โครงการ Coding for Better Life ที่มุ่งสร้างครูผู้สอนที่พร้อมถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านโค้ดดิ้งแก่นักเรียนรุ่นต่อรุ่น
คาดว่าจะสร้างเด็กตั้งแต่รุ่นประถมให้มีทักษะโค้ดดิ้ง และรู้เท่าทันดิจิทัลได้ 300,000 คนต่อปี เพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัล และนี่เป็นเครื่องยนต์ที่สามของนโยบาย The Growth Engine of Thailand