แก้กฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์คืบหน้า บีบแบงก์ร่วมชดใช้ค่าเสียหาย

รมว.ดีอี เผย พ.ร.ก.ป้องปรามอาชญากรรมไซเบอร์ฉบับแก้ไขกำลังเข้า ครม. เพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูล บัญชี-ซิมม้า บีบแบงก์ให้ร่วมรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายหากเอื้อมิจฉาชีพ เปิดทางคืนเงินกว่าหมื่นล้านให้ผู้เสียหาย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า การปรับปรุง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2565 อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของสำนักงานกฤษฎีกา จากนั้นจะมีการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อประกาศใช้ต่อไป

ประเสริฐ จันทรรวงทอง
ประเสริฐ จันทรรวงทอง

การปรับแก้กฎหมายนี้มีความสำคัญมาก ทั้งในแง่การเพิ่มโทษอาชญากรรม และการเปิดทางให้มีการคืนเงินให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งปัจจุบันทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแห่งชาติ มีทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้จากโจรไซเบอร์กว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท

“ในจำนวนทรัพย์สินราวหมื่นล้านนี้ เกินครึ่งเป็นเงินสดที่อายัดจากบัญชีม้า ส่วนที่เหลือเป็นสินทรัพย์อื่น เช่น รถหรู บ้าน เป็นต้น ตอนนี้ที่ยังไม่สามารถคืนเงินให้ผู้เสียหายได้ เนื่องจากการดำเนินคดียังไม่สิ้นสุด หรือยังติดขัดข้อกฎหมาย กฎระเบียบที่ล้าสมัย”

ในส่วนของการเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ให้ถือเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมในวงกว้าง จึงต้องมีการกำหนดบทลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องและคนร้ายในอัตราโทษจำคุกเพิ่มขึ้นจาก 1 ปี เป็น 5 ปี

ทั้งยังมีการออกมาตรการป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะที่เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการโอนสินทรัพย์ดิจิทัล ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคนร้ายหรือโจรออนไลน์

ADVERTISMENT

และให้อำนาจการระงับ หรือยกเลิกการใช้ซิม หรือการสื่อสารต้องสงสัย

ส่วนที่สำคัญอีกส่วนคือ การเพิ่มความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม หรือสื่อสังคมออนไลน์ ในความเสียหายของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงออนไลน์

ADVERTISMENT

“กรณีของธนาคาร หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีการปล่อยปละให้เปิดบัญชีม้า หรือการกระทำใด ๆ ก็อาจจะต้องให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย 100% แต่หากทำให้เห็นว่าป้องกันแล้วก็ยังเกิดเป็นช่องทางให้โจรใช้ ก็ขึ้นอยู่กับศาลท่านว่าจะให้ธนาคารชดใช้อย่างไร”