
ธุรกิจแพลตฟอร์มยังเป็นเซ็กเตอร์ดาวรุ่ง ในฐานะขุมทรัพย์ใหม่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล จากการเติบโตก้าวกระโดดทุกปี และช่วยเพิ่มโอกาสให้คนตัวเล็ก หรือ SMEsมีช่องทางในการสร้างรายได้มากขึ้น
ในงานสัมมนา “PRACHACHAT THAILAND 2025 : โอกาส-ความหวัง-ความจริง” เมื่อเร็ว ๆ นี้ “ยอด ชินสุภัคกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai เป็นหนึ่งในวิทยากรที่มาแชร์มุมมองน่าสนใจ เกี่ยวกับธุรกิจแพลตฟอร์มและการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ภายใต้หัวข้อ “The Platform Era” ดังนี้
เจาะธุรกิจแพลตฟอร์ม
“ยอด” ฉายภาพว่า ธุรกิจแพลตฟอร์ม คือธุรกิจที่พาคนมาเจอกันบนโลกเทคโนโลยี เช่น มาร์เก็ตเพลซ, บริการทางการเงิน, โซเชียลมีเดีย และระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ซึ่งเติบโตอย่างมาก เห็นได้จากช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา หน้าตาของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเปลี่ยนไปค่อนข้างมากจากกลุ่มค้าปลีก และพลังงานอย่าง ExxonMobil และ Walmart มาเป็นบริษัทเทคโนโลยี เช่น Apple, Microsoft และ Alphabet เป็นต้น
เมื่อเจาะมาที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถจัดกลุ่มของธุรกิจแพลตฟอร์มได้เป็น 5 หมวดหมู่ใหญ่ ๆ ได้แก่
1.อีคอมเมิร์ซ เช่น Shopee, Lazada, TikTok และ Tokopedia
2.ออนดีมานด์ เช่น LINE MAN, Grab และ GoTo
3.ท่องเที่ยวออนไลน์ เช่น Agoda, Traveloka และ Klook
4.สื่อออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram และ X
5.บริการทางการเงิน เช่น LINE PAY, GrabPay และ Shopee Pay
สแกนภาพรายประเทศ
“ภาพรวมเศรษฐกิจดิจิทัลของแต่ละประเทศในภูมิภาคยังเติบโตต่อเนื่อง หลายประเทศมีอัตราการเติบโตต่อปีมากกว่า 20%”
เช่น ประเทศอินโดนีเซียมีขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่ที่สุด เพราะมีจำนวนประชากรเยอะ โดยในปี 2567 มีมูลค่าอยู่ที่ 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (3 ล้านล้านบาท) คาดว่าจะขยายตัวแบบปีต่อปี เฉลี่ย 21% เป็น 2.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (9.68 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2573
รองลงมาเป็นประเทศไทย ในปี 2567 มีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัล 4.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (1.59 ล้านล้านบาท) และจะมีการขยายตัวแบบปีต่อปี 20% เป็น 1.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (4.49 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2573 ถือว่าโตเร็วกว่า GDP ที่ขยายตัวประมาณ 2-3% ตามด้วยเวียดนาม และฟิลิปปินส์ ที่อีกไม่กี่ปีจะมีสัดส่วนเท่า ๆ กับไทย ส่วนมาเลเซีย แม้จะมีการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลต่อปี ประมาณ 11% น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ เพราะประชากรน้อย แต่ก็เป็นประเทศที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
การลงทุนยังไม่ฟื้น
“ยอด” กล่าวต่อว่า แม้การเติบโตของธุรกิจแพลตฟอร์มจะมีทิศทางที่สดใส แต่ในแง่ของการลงทุนที่เป็นฟันเฟืองสำคัญสำหรับการสร้างการเติบโตให้บริษัทเหล่านี้ยังไม่กลับมา
“ปี 2564 มูลค่าการระดมทุนในสตาร์ตอัพ และบริษัทเทคโนโลยีอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9.37 แสนล้านบาท ปี 2565 อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 7.63 แสนล้านบาท แต่ในปี 2566 กลับเหลือเพียง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.77 แสนล้านบาท เป็นผลมาจากที่ตลาดหุ้นเทคโนโลยีหดตัวอย่างหนักช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด”
การทำธุรกิจแพลตฟอร์มช่วงแรกต้องใช้เงินลงทุนสูง เพราะต้องดึงผู้ใช้จำนวนมากเข้าสู่แพลตฟอร์มแล้วจึงค่อยหาทางทำกำไรในภายหลัง ดังนั้นการที่สตาร์ตอัพไม่มีเงินลงทุนตั้งแต่แรก จะทำให้สร้างการเติบโตได้ลำบาก
ไทยรั้งท้าย-โอกาสที่ซ่อนอยู่
หากเปรียบเทียบความสามารถในการดึงดูดใจนักลงทุนสตาร์ตอัพระหว่างประเทศในภูมิภาคจะพบว่า ไทยอยู่ในอันดับ 6 รองจากเวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เนื่องจากความไม่ชัดเจนเรื่อง “Exit Pathways” หรือวิธีการออกจากการลงทุน ซึ่งมีปัจจัยจากแผนการ IPO หรือการเกิดดีลควบรวมกิจการ (M&A) ที่ไม่ชัดเจน และข้อบังคับของผู้กำกับดูแล
“ในฐานะคนที่ทำธุรกิจแพลตฟอร์มรู้ว่า M&A สำคัญกับการเติบโตมาก ซึ่งในภูมิภาคนี้มีดีล M&A เกิดขึ้นหลายดีล เช่น Alibaba เข้าซื้อ Lazada ในปี 2559 และ Gojek ควบรวมกิจการกับ Tokopedia เป็น GoTo ในปี 2564 เป็นต้น”
“ยอด” กล่าวด้วยว่า ท่ามกลางสภาพการลงทุนที่ยังไม่ฟื้นกลับมา ยังมีโอกาสซ่อนอยู่อีกมาก เห็นได้จากจำนวนการเข้าถึงบริการต่าง ๆ (Penetration Rate) ที่ยังมีสัดส่วนไม่เยอะ เช่น ฟู้ดดีลิเวอรี่ 14% บริการเรียกรถ 9% บริการ Digital Payment 41% เป็นต้น
โดยกลุ่มบริการซอฟต์แวร์ (Software as a Services : SaaS) เช่น แพลตฟอร์มบริหารจัดการหลังบ้านของร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรม เป็นเซ็กเตอร์ที่น่าจับตามองมาก ทั้งจากความต้องการของกลุ่ม SMEs ที่มีมากขึ้น รวมถึงสัดส่วนการลงทุนจากนักลงทุนยังเพิ่มขึ้นด้วย
“การลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์มเกือบ 50% อยู่ใน Nascent Sectors หรือธุรกิจที่กำลังตั้งไข่ นอกจากอีคอมเมิร์ซ ท่องเที่ยวออนไลน์ และบริการทางการเงิน โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2567 สัดส่วนการลงทุนกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ที่ SaaS ขยายตัวจากช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ที่ 28% นับเป็นโอกาสของกลุ่มสตาร์ตอัพ และบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการทำธุรกิจแพลตฟอร์ม”
แนะ 3 ส่วนหนุน ศก.ดิจิทัล
ผู้บริหาร LINE MAN Wongnai ทิ้งท้ายว่า ปัจจัยที่จะช่วยให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยเติบโตยิ่งขึ้นมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ 1.การทำให้ SMEs มีความเชี่ยวชาญในการใช้งานดิจิทัล ถือเป็นสิ่งสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ 2.เพิ่มความชัดเจนเรื่อง Exit Pathways ผ่านการทำ M&A หรือการเข้า IPO และ 3.นโยบายภาครัฐต้องส่งเสริมการทำธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของกลุ่มแพลตฟอร์มดิจิทัล
“LINE MAN Wongnai มีแผนเข้า IPO ในตลาดหุ้นไทยในปีหน้า เชื่อว่าความตั้งใจของเราจะช่วยพิสูจน์ให้นักลงทุนเห็นว่าการลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์มของไทยมี Exit Pathways ที่ชัดเจน ส่งเสริมให้อีโคซิสเต็มของบริษัทเทคโนโลยีไทยแข็งแรงขึ้น และมีเม็ดเงินการลงทุนไหลเวียนอยู่ในประเทศ”