บิตคอยน์ ทางเสี่ยงหรือทางรุ่ง ?

เทสลาลงทุนบิตคอยน์
(Photo by KAREN BLEIER / AFP)
คอลัมน์ Tech Times
มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ

นาทีนี้ สกุลเงินที่มาแรงที่สุดต้องยกให้บิตคอยน์ ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2019 แต่มาพีกสุด ๆ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนตอน “อีลอน มัสก์” เจ้าพ่อ Tesla ออกมาประกาศว่าอีกไม่นานลูกค้าจะสามารถใช้บิตคอยน์ซื้อรถของ Tesla ได้แล้ว

แถมแสดงความมั่นใจด้วยการทุ่มซื้อบิตคอยน์มาเป็นส่วนหนึ่งของกระแสเงินสดของบริษัทไปกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ ทำให้ราคาบิตคอยน์ทะยานทะลุเพดานไปอยู่ที่ 44,800 เหรียญ

ความนิยมบิตคอยน์ยังมาจากการที่ผู้ให้บริการดิจิทัลเพย์เมนต์ระดับโลกอย่าง Sqaure และ PayPal เริ่มทยอยเปิดให้ลูกค้าเทรดบิตคอยน์ผ่านแพลตฟอร์มของตนได้

แต่ที่กำลังทำให้บิตคอยน์เขยิบเข้าใกล้การเป็นสกุลเงิน “กระแสหลัก”จริง ๆ น่าจะเป็นการขยับของ MasterCardล่าสุดประกาศว่ากำลังจะเปิดให้ผู้ถือบัตร ร้านค้าใช้ cryptocurrency “บางสกุล”ในการซื้อขายได้ภายในสิ้นปีนี้

แม้จะยังไม่ให้รายละเอียดโครงการ แต่ “บิตคอยน์” เป็นสกุลเงิน cryptocurrency เดียวที่ MasterCard ระบุชื่อออกมาอย่างชัดเจน โดยผู้บริหารบอกว่าบริษัทต้องการเพิ่ม “ทางเลือก” ให้ลูกค้าในการใช้บริการ

คร่าว ๆ คือ MasterCard จะมีพันธมิตรที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการแปลง cryptocurrency เป็นสกุลเงินหลักในกรณีที่ลูกค้าใช้ cryptocurrency ในการซื้อสินค้า ซึ่งบริการนี้น่าจะทำให้ร้านค้าเปิดรับการใช้งาน cryptocurrency มากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียมานั่งแปลงสกุลเงินให้วุ่นวาย

การขยับของ MasterCard ส่งให้ราคาบิตคอยน์พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะนักลงทุนมองว่าบิตคอยน์กำลังได้รับความยอมรับจากสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่ง BNY Mellon ธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐก็ออกประกาศไล่หลัง MasterCard ว่าได้ฟอร์มทีม “digital assets” เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัล

การสร้างแรงกระเพื่อมเบิ้ม ๆ อีกรายคือ “ริก ไรเดอร์” ผู้บริหารของ BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เคยฟันธงไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อนว่าบิตคอยน์อาจเข้ามาแทนที่ “ทองคำ” ในฐานะเครื่องมือการลงทุนหลักในอนาคต

แต่ในสายตาของผู้คร่ำหวอดในวงการการเงิน “ไมเคิล ฮาร์ตเนตต์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของ Bank of America Securities มองว่าบิตคอยน์ คือ ฟองสบู่ระดับ “ตัวแม่” ที่พร้อมล้มสถิติฟองสบู่ทุกครั้งที่โลกเคยประสบมา

เขามองว่าการที่ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นกว่า 1,000% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น เข้าขั้นมหกรรมการเก็งกำไรที่มีสเกลใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แซงหน้าตำนานฟองสบู่อื่นไปไกลโข ไม่ว่าจะเป็นฟองสบู่ทองในช่วงปี 1970s จนถึงฟองสบู่ในตลาดอสังหาฯปี 2000s ทุกเหตุการณ์ล้วนเริ่มจากการเติบโตก้าวกระโดดก่อนร่วงหล่น

แม้ “ไมเคิล” จะไม่ฟันธงว่าราคาบิตคอยน์จะร่วงกราวรูดทันทีทันควัน แต่เตือนให้ระวังการเก็งกำไรไว้บ้าง และเขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่ออกมาเตือน ยังมีนักวิเคราะห์อีกหลายรายที่มองว่าเหตุผลการซื้อบิตคอยน์เพื่อประกันความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์ตกต่ำกำลังจะหมดไป เพราะดอลลาร์เริ่มกลับมาเสถียรขึ้นอีกครั้งในระยะหลัง

แต่เสียงเตือนเหล่านี้ดูจะไปไม่ถึงหูสาวกบิตคอยน์ที่ยังคงกระหน่ำซื้อต่อไป ยิ่งมีนักลงทุนระดับอภิมหาเศรษฐีอย่าง “พอล ทิวดอร์ โจนส์” กับ “สแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์” ออกโรงแสดงความสนใจลงทุนในบิตคอยน์อย่างออกหน้า ก็ยิ่งทำให้สาวกมั่นใจควักเงินลงทุนตามรัว ๆ

ก็คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าบิตคอยน์จะรุ่งโรจน์กลายเป็นสินทรัพย์มั่นคงอย่างที่บางคนคาดหวัง หรือจะกลายเป็นฟองสบู่ “ตัวแม่” อย่างที่ไมเคิล ฮาร์เนตต์ จาก Bank of America ทำนายไว้ แต่หากแมลงเม่าตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายจะรอบคอบไว้ก่อนก็ไม่เสียหลาย เพราะภาวะเศรษฐกิจแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้