เมื่อราคาที่ดินพุ่งพรวดในโลก “เมตาเวิร์ส”

ภาพจาก : Cryptovoxels
ภาพจาก : Cryptovoxels
คอลัมน์ : Tech Times
ผู้เขียน : มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ

แม้ “เมตาเวิร์ส” จะเป็นแค่โลกเสมือน แต่ตลาดซื้อขายที่ดินในโลกที่ไม่มีอยู่จริงแห่งนี้กลับคึกคักจนน่าตกใจ

จากรายงานของ MetaMetric Solutions พบว่าการซื้อขายที่ดินในเมตาเวิร์สในปี 2021 มีมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านเหรียญ และคาดว่าจะพุ่งแตะระดับหลักพันล้านเหรียญภายในสิ้นปีนี้

ที่ดินใน “เมตาเวิร์ส” กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีราคาพุ่งกระฉูด เกิดขึ้นหลังจาก Facebook ประกาศแผนลงทุนในการพัฒนาเมตาเวิร์สอย่างจริงจังถึงขั้นเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Meta” ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายที่ดินในโลกเสมือนพุ่งขึ้นกว่า 9 เท่า โดยบริษัทวิจัย Brand Essence Market Research คาดว่าตลาดที่ดินในเมตาเวิร์สจะเติบโตเฉลี่ยอยู่ปีละ 31% ระหว่างปี 2022-2028

ปัจจุบันตลาดนี้มีผู้เล่นรายใหญ่อยู่ 4 ราย ได้แก่ Sandbox, Decentraland, Cryptovoxels และ Somnium โดยเป็นเจ้าของที่ดินรวมกันทั้งหมด 268,645 แปลง

Sandbox ถือเป็นพี่ใหญ่วงการ เพราะครอบครองที่ดินทั้งสิ้น 166,464 แปลง หรือคิดเป็น 62% ของที่ดินทั้งหมดในโลกเสมือน และเป็นผู้กวาดรายได้ไปกว่า 1 ใน 3 ของยอดขายรวมในปีที่แล้ว โดยราคาเฉลี่ยต่อแปลงอยู่ที่ 12,700 เหรียญในช่วงเดือนธันวาคมปี 2021

ทำเลยอดนิยม ได้แก่ บริเวณที่มักมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ หรืออยู่ใกล้ดาราดังหรือคนมีชื่อเสียง โดยปีที่ผ่านมามีคนยอมทุ่มเงินกว่า 450,000 เหรียญ (14.9 ล้านบาท) เพราะอยากเป็น “เพื่อนบ้าน” กับ Snoop Dogg ใน Sandbox มาแล้ว

สำหรับนักลงทุนอย่าง “จานีน โยริโอ” ซีอีโอ Republic Realm การซื้อที่ดินในเมตาเวิร์สมีความเสี่ยงมหาศาล แต่ก็สามารถมอบผลตอบแทนที่คุ้มค่าเช่นกัน

Republic Realm ทุ่มเงินกว่า 4.3 ล้านเหรียญ เพื่อซื้อที่ดินของ Sandbox เพื่อนำมาพัฒนาเป็นหมู่เกาะสุดหรูที่มีชื่อว่า “Fantasy Islands” ประกอบด้วยเกาะส่วนตัวทั้งสิ้น 100 เกาะ พร้อมคฤหาสน์และเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้ ยังมีตลาดออนไลน์ไว้ทำเงินจากบรรดาเจ้าของเกาะที่อยากซื้อเรือและเจ็ตสกีมาขับโฉบเฉี่ยวให้หนำใจ

ปรากฏว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะแค่วันแรกที่เปิดตัวก็ขายไปได้ 90 เกาะ สนนราคาอยู่ที่เกาะละ 15,000 เหรียญ โดยมีข่าวว่ามีการเอามาปล่อยขายต่อใน
ราคากว่า 3 แสนเหรียญแล้วตอนนี้

“จานีน” มองว่าทำเลที่ตั้งอาจไม่ใช่ตัวแปรสำคัญเหมือนในโลกปกติ เพราะในโลกเสมือนนั้นเราสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ตามใจนึก ดังนั้น สิ่งที่สำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้ที่ดินของเราในโลกเสมือน คือ ไอเดียในการพัฒนาที่ดินให้ดึงดูดใจผู้คนมากกว่า

ในขณะที่ “แอนดรูว์ คิเกล” ซีอีโอ Token.com ที่ลงทุนในที่ดินในเมตาเวิร์สเช่นกันกลับมองว่า โลเกชั่นยังเป็นตัวกำหนดราคาที่สำคัญ โดยเฉพาะทำเลที่มีประชากรหนาแน่นราคาก็ย่อมสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

Token.com เพิ่งทุ่มเงิน 2.4 ล้านเหรียญเพื่อซื้อที่ในย่านแฟชั่นของ Decentraland โดยมีแผนจะเปิดตัวความร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง 2 แห่งในการเปิดหน้าร้านและจัดงานแฟชั่นโชว์

“แอนดรูว์” มองว่าโอกาสทางธุรกิจที่แท้จริงในเมตาเวิร์ส คือ รายได้จากการโฆษณา เช่น การเปิดพื้นที่ให้บริษัทห้างร้านต่าง ๆ มาเช่าใช้เพื่อทำโฆษณาหรือจัดอีเวนต์ เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่

ซึ่งนอกจากเปิดตัวกับบริษัทแฟชั่นเสื้อผ้าแล้วยังมีการเจรจากับลูกค้าองค์กรหลายแห่ง ทั้งบริษัทการเงิน ธนาคาร และกองทุนต่าง ๆ ที่สนใจอยากสร้างตัวตนบนโลกเสมือนก่อนตกเทรนด์

ทุกวันนี้ใครที่อยากเข้าสู่โลกเมตาเวิร์สยังต้องเล่นผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แต่อีกไม่นานทั้ง Meta และบริษัทไฮเทคอื่น ๆ ต่างมีโครงการจะทำให้ผู้เล่นได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ทำให้ Grayscale ประเมินว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโลกดิจิทัลจะมีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านเหรียญในอนาคตอันใกล้

จึงไม่แปลกที่เมตาเวิร์สได้กลายเป็นดินแดนแห่งอนาคตที่ใครต่างหมายปองภายในเวลาอันสั้น พร้อมกับราคาที่ดินที่ดีดตัวขึ้นจนเท่ากับ (หรืออาจมากกว่า) ราคาบ้านที่เราอยู่อาศัยกันจริง ๆ ไปแล้ว

ขณะที่เทรนด์เมตาเวิร์สกำลังมาแรงก็มีเสียงท้วงติงจากนักวิชาการมาเป็นระยะว่า ที่ดินในเมตาเวิร์สนั้นเหมือนสิ่งของที่ล่องลอยอยู่ในอากาศและจับต้องไม่ได้ เพราะในขณะที่ที่ดินในโลกปกติมีจำนวนจำกัด ทำให้ที่ดินย่านธุรกิจมีราคาสูง แต่ในโลกของเมตาเวิร์สนั้นเจ้าของแพลตฟอร์มสามารถ “เสก” ที่ดินให้งอกเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ จนอาจนำไปสู่ปรากฏการณ์ฟองสบู่แตกได้ในอนาคต

แม้แต่นักลงทุนอย่าง “จานีน” เองก็ยอมรับว่า การลงทุนในเมตาเวิร์สมีความเสี่ยงสูงมาก แถมเป็นการซื้อขายผ่านเงินคริปโทที่ราคาสะวิงสุด ๆ ดังนั้น คนที่อยากลงทุนก็ควรเตรียมใจพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน