“เวียดนาม” ผนึก “ลาว” เลี้ยงโคนม ตีตลาดอาเซียน สะเทือน “แดรี่โฮม”

วิกฤต - ปี 2564 รัฐบาลไทยได้ตกลงเปิดเสรีสินค้านมและผลิตภัณฑ์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ออสเตรเลีย และ FTAไทย-นิวซีแลนด์ ส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงโคนมไทย ซึ่งเลี้ยงจำนวนน้อย ส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงสูงสู้ต่างประเทศไม่ได้

“แดรี่โฮม” เผยปี 2564 เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทยเจอ 2 วิกฤตหนัก ทั้งผลกระทบเปิดเสรี FTA ไทย-ออสซี่ และไทย-นิวซีแลนด์ นมและผลิตภัณฑ์นม

ล่าสุด บริษัท Vinamilk ผู้ผลิตโคนมยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ในเวียดนาม และอันดับ 50 ของโลก ผนึกนักธุรกิจลาว-ญี่ปุ่นร่วมลงทุนกว่า 3,600 ล้านบาท เช่าที่ดินแขวงเชียงขวางกว่า 1 แสนไร่ เลี้ยงโคนมออร์แกนิกกว่า 1 แสนตัว ตีตลาดอาเซียน ชี้เกษตรกรไทยอยู่รอดยากหากไม่ปรับตัว พร้อมแนะคนเลี้ยงโคนมทำฟาร์มออร์แกนิกขายตลาดเฉพาะกลุ่มเพื่ออยู่รอด

นายพฤฒิ เกิดชูชื่น เจ้าของแดรี่โฮม เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ผู้ผลิตและจำหน่ายนมและผลิตภัณฑ์แปรรูปนมครบวงจร ภายใต้แบรนด์แดรี่โฮม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปี 2564 เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทยจะเดือดร้อนหนักและอาจจะอยู่รอดกันยาก เนื่องจากต้องเผชิญ 2 ปัญหาใหญ่ ทั้งการเปิดเสรีสินค้านมและผลิตภัณฑ์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ออสเตรเลีย และ FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ซึ่งจะเริ่มเปิดเสรีไม่จำกัดการนำเข้าในปี 2564 และไม่มีภาษีในปี 2568

เวียดนาม-ลาว เลี้ยงโคนมแสนตัว

เจ้าของแดรี่โฮม ยังระบุว่า ล่าสุดมีกระแสข่าวว่าผู้ผลิตโคนมรายใหญ่ในเวียดนามได้มาร่วมลงทุนกับนักธุรกิจลาวและญี่ปุ่นสร้างฟาร์มโคนมออร์แกนิกกว่า 1 แสนตัวใน สปป.ลาว ถือเป็นโครงการใหญ่ที่รัฐบาล สปป.ลาวส่งเสริมอย่างจริงจัง โดยให้เช่าพื้นที่ทำฟาร์มในราคาถูก

“โปรเจ็กต์นี้น่ากลัวมาก ตอนนี้เราคิดว่านมไทยส่งไปขายได้ที่ สปป.ลาว เวียดนาม กัมพูชา แต่ถ้าโปรเจ็กต์นี้ประสบความสำเร็จ ประเทศไทยจะขายให้ใคร ที่สำคัญฟาร์มที่ทำเป็นนมออร์แกนิกด้วย ตอนนี้ไม่ใช่แค่แผนการ แต่บริษัทนี้ได้เริ่มลงมือทำแล้ว ทั้งเครื่องจักร และเริ่มเลี้ยงโคนมแล้ว ถ้ารัฐบาลไทยยังไม่เข้ามาดูแลอย่างจริงจังกับเรื่องนี้” นายพฤฒิกล่าว

“ผมว่าเมื่อถึงปี 2568 เมื่อฟาร์มแห่งนั้นแล้วเสร็จสมบูรณ์จะถึงจุดทางแยกใหม่ นมจากฝั่งลาวจะข้ามมาทางฝั่งบ้านเราเป็นตลาดแรก ยิ่งมี FTA สินค้านมทุกอย่างจะถูกนำเข้าอย่างอิสระ ถ้าเหลือจากขายใน สปป.ลาว เวียดนาม และในอาเซียน บริษัทดังกล่าวอาจจะมองตลาดจีน และอาจจะเกิดฟาร์มเพิ่มที่กัมพูชา ยิ่งเป็นฟาร์มที่ขนาดใหญ่สามารถขายในมาร์จิ้นที่ราคาถูกได้ ฉะนั้นโปรดักต์ของบริษัทร่วมทุนเวียดนาม-ลาว-ญี่ปุ่นจะขายนมและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ ได้ถูกกว่าบ้านเราก็เป็นไปได้

นายพฤฒิ เกิดชูชื่น เจ้าของแดรี่โฮม เขาใหญ่
พฤฒิ เกิดชูชื่น

อนาคตเปิดเสรีสินค้านม

นายพฤฒิกล่าวต่อไปว่า สำหรับการเปิดเสรีสินค้านมและผลิตภัณฑ์บริษัทที่นำเข้ามาแปรรูปจะได้รับอานิสงส์เป็นอย่างมาก เพราะสามารถซื้อนมมาผลิตเป็นสินค้าได้ในราคาถูก แต่สำหรับเกษตรกรได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากปัจจุบันนมในประเทศมีราคาแพง FTA จะเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตในประเทศไทยนำเข้าวัตถุดิบหรือนมจากต่างประเทศที่ราคาถูกกว่ามาทำเป็นโปรดักต์ได้โดยไม่มีโควตาจำกัดการนำเข้าในปี 2564 และไม่มีภาษีในปี 2568 หมายความว่าโรงงานแปรรูปนมมีอิสระในการเลือกวัตถุดิบจากที่ไหนก็ได้

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในธุรกิจนมของประเทศไทยเตรียมตัวรับผลประโยชน์ในข้อนี้อย่างเต็มที่ และมีความพร้อมมากกว่าผู้ประกอบการจากประเทศอื่นในอาเซียน เพราะหลายรายต่างเป็นโรงงานคุณภาพ หากมีวัตถุดิบราคาถูกเข้ามาโอกาสที่จะเลือกซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศสูงมาก

“อุตสาหกรรมนมของไทยจะคงเหนื่อย เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจากต่างประเทศจะได้เปรียบกว่าเกษตรกรไทยเนื่องจากปริมาณการเลี้ยงต่างกัน บ้านเราส่วนใหญ่เลี้ยงฟาร์มละ 15-20 ตัว เพราะไม่มีที่ดินมากนัก โอกาสจะเพิ่มจำนวนโคนมหรือขยายพื้นที่การเลี้ยงแทบจะไม่มีแล้ว แตกต่างจากการเลี้ยงโคนมของฟาร์มในต่างประเทศ แต่ละฟาร์มเลี้ยง 500 ตัว ซึ่งให้ปริมาณน้ำนมได้มากกว่า ฉะนั้นต่อให้ขายราคาถูกก็มีรายได้มากกว่าเกษตรกรไทย ตอนนี้เกษตรกรเลี้ยงโคนมไทยได้มาร์จิ้นอยู่ประมาณ 4 บาทต่อลิตร ถ้าจะสู้กับนมต่างประเทศต้องลดต้นทุนลง แต่ยังไม่เพียงพอให้อยู่รอด เกษตรกรอยู่รอดกันยาก”

นายพฤฒิกล่าวต่อไปว่า วิธีการเดียวที่เกษตรกรจะรอดคือต้องสร้างความแตกต่างในการทำฟาร์มโคนมออร์แกนิกขายราคาแพงกว่าราคานมปกติไปสู่ตลาดเฉพาะกลุ่ม (niche market) ซึ่งเป็นโมเดลที่ทำให้อยู่ได้บ้าง เพราะคนที่แสวงหาสินค้าที่ดีต่อสุขภาพมีเพิ่มขึ้น จึงต้องขยายตลาดนี้ให้โตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยได้เป็นอย่างดี

Vinamilk ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตนม

สำนักข่าว dairyreporter.com รายงานว่า บริษัท Vietnam Dairy Products Joint Stock Company หรือ Vinamilk ซึ่งเป็นผู้ผลิตนมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ในประเทศเวียดนามได้ร่วมกับ Lao-Jagro Development Xiengkhouang Co.,Ltd. (Lao-Jagro) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างนักธุรกิจลาวและญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งในปี 2558 ได้ผนึกกำลังกันสร้างฟาร์มโคนมผลิตน้ำนมออร์แกนิกด้วยมาตรฐานระดับสากลของยุโรปและอเมริกา เพื่อขายในตลาดเวียดนามและตลาดอื่นในภูมิภาคเอเชีย ขณะเดียวกันได้ส่งเสริมเทคโนโลยีพัฒนาอุตสาหกรรมนมใน สปป.ลาว

โดยฟาร์มแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ราบสูงแขวงเชียงขวาง สปป.ลาว ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศเป็นที่ราบสลับเนินเขาเตี้ย คล้ายกับประเทศนิวซีแลนด์ มีโรงงานผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์นมอยู่ในนั้นด้วย

โดยบริษัท Vinamilk เป็นผู้ถือหุ้น 51% จาก Lao-Jagro ตั้งเป้าพัฒนาพื้นที่ฟาร์ม 20,000 เฮกตาร์ หรือเนื้อที่มากกว่า 1 แสนไร่ เพื่อเลี้ยงโคนมให้ได้ 1 แสนตัว จากเริ่มแรก 24,000 ตัว ซึ่ง Mai Kieu Lien ผู้อำนวยการของ Vinamilk บอกว่า โครงการนี้เป็นแผนยุทธศาสตร์ในระยะยาวเพื่อพัฒนาฟาร์มให้เป็น “รีสอร์ต” ที่เหมาะสำหรับโคนมโดยเฉพาะ ด้วยการใช้เทคโนโลยี 4.0 และอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดในอุตสาหกรรมปศุสัตว์มาใช้ พร้อมนำทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูงจาก Vinamilk จากประเทศญี่ปุ่น และประเทศอื่นจากทั่วโลกเข้ามาดำเนินงาน เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการพัฒนาด้านปศุศัตว์ อุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมนมใน สปป.ลาวจะประสบความสำเร็จ

สำหรับการดำเนินโครงการในเฟส 1 เริ่มต้นลงทุนที่ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,600 กว่าล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จและผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของยุโรปและสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2563 ส่วนมูลค่าการลงทุนในเฟส 2 อยู่ที่ 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11,000 กว่าล้านบาท

ด้าน Viet Nam News รายงานว่า การลงทุนสร้างฟาร์มโคนมออร์แกนิกครั้งนี้จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มทักษะและรายได้ให้กับเกษตรกร ปัจจุบันบริษัท Vinamilk มีฟาร์มเป็นของตัวเองอยู่จำนวน 12 แห่ง มีโคนม 130,000 ตัว คิดเป็น 59% ของส่วนแบ่งการตลาดในประเทศเวียดนาม มีศักยภาพสูงและสามารถขยายตลาดส่งออกไปยังต่างประเทศได้อีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน้าเว็บของ Vinamilk ระบุว่า บริษัทก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2519 หรือกว่า 43 ปีที่ผ่านมา เป็นผู้ผลิตนมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมอันดับ 1 ในประเทศเวียดนาม และติดอันดับ 1 ใน 50 บริษัทนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย อาทิ นมสด, โยเกิร์ตไอศกรีม, ชีส, นมผงสำหรับผู้สูงอายุ แม่และเด็ก, นมถั่วเหลือง, นมน้ำผลไม้ปั่น, สมูทตี้ชา, อาร์ติโช้ก (atiso) ฯลฯ

ปัจจุบัน Vinamilk จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศออสเตรเลีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2519 และมีสำนักงานใหญ่ในโฮจิมินห์ซิตี ประเทศเวียดนาม และในอนาคตตั้งเป้าจะก้าวไปเป็นผู้ผลิตนมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมอันดับที่ 30 ของบริษัทผู้ผลิตนมรายใหญ่ที่สุดของโลก