นิคอนเผยตลาดกล้องดิจิทัลส่งสัญญาณบวกชัดเจน โตดับเบิลดิจิตตั้งแต่ พ.ค.-ส.ค. หลังเปิดท่องเที่ยว-อีเวนต์หนุนดีมานด์ครัวเรือน-ช่างภาพอาชีพ ดันครึ่งปีเงินสะพัด 1,430 ล้าน มั่นใจปีนี้ตลาดกล้องขยายตัวเบาะ ๆ 15% เป็นการโตครั้งแรกนับตั้งแต่โควิด-19 ระบาด เดินหน้าทุ่มงบฯโหมจัดเวิร์กช็อป-ทริปถ่ายภาพทั่วประเทศ พร้อมผนึกพันธมิตรอัดแคมเปญปลุกยอดคริสต์มาส-ปีใหม่ โฟกัสชิงดีมานด์กลุ่มวัยรุ่น-ครอบครัว ลุ้นรายได้เติบโต 40%
นายวีระ เฉลียวปิยะสกุล รองประธาน บริษัท นิคอน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ถ่ายภาพแบรนด์นิคอน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลาดกล้องดิจิทัลปี 2565 นี้มีโอกาสกลับมาเติบโตเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยช่วง 3 เดือนท้ายตลาดจะคึกคักมากเป็นพิเศษ
สะท้อนจากช่วง 6 เดือนแรกเม็ดเงินในตลาดอยู่ที่ 1,430 ล้านบาท เกินครึ่งหนึ่งของปี 2564 ที่มีมูลค่า 2,460 ล้านบาทแล้ว และช่วงเดือนกรกฎาคมมีการเติบโตถึง 16% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแม้จะยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการแต่เชื่อว่าเติบโตถึง 20% ทั้งนี้แม้อยู่ในช่วงฤดูฝนซึ่งถือเป็นโลว์ซีซั่นของกล้องดิจิทัลก็ตาม
ตลาดคึกคักสวนทางโลว์ซีซั่น
นายวีระกล่าวว่า แม้ไตรมาส 3 จะเป็นโลว์ซีซั่น แต่นอกจากเราจะเติบโตได้ตามเป้าแล้ว ค่ายกล้องอื่น ๆ ต่างเห็นตรงกันว่าตลาดคึกคัก รวมไปถึงร้านค้าซึ่งขายสินค้าได้ดีจนต้องสั่งซื้อไปเติมสต๊อก จนเรียกได้ว่าเดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้ ตลาดฟื้นตัวดีมาก ทำให้มั่นใจว่าตลาดเติบโตจากปีที่ได้แน่นอน
การฟื้นตัวนี้เป็นผลจากการกลับมาของกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ การแข่งขันกีฬา งานแต่งงาน งานรับปริญญา ฯลฯ รวมถึงการเรียนแบบออนไซต์ ทำให้ทั้งผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและช่างภาพอาชีพกลับมาหาซื้อกล้อง เลนส์และอุปกรณ์ต่าง ๆ อีกครั้งหลังไม่ได้อัพเกรดอุปกรณ์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
โดยเห็นสัญญาณตั้งแต่เดือนพฤษภาคม หลังกล้องรุ่น Z9 เริ่มมียอดขายจากกลุ่มช่างภาพอาชีพเข้ามา ต่างจากช่วงโควิดที่ขายได้เฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคระดับบน-ไฮเอนด์ซึ่งถ่ายรูปเป็นงานอดิเรก
อีกจุดคือ วงการกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอลไทยลีกที่แต่ละทีมเริ่มสอบถามถึงการอัพเกรดอุปกรณ์ให้กับช่างภาพของตน หลัง 2-3 ปีที่ผ่านมาทุกรายใช้อุปกรณ์เดิมกันหมด ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงสะท้อนการฟื้นตัว และสร้างความคึกคักให้ตลาด จนเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนตลาดเติบโตระดับเลขสองหลักทั้ง 2 เดือน
แนวโน้มการเติบโตนี้ทำให้เชื่อว่าช่วง 3 เดือนที่เหลือตลาดจะคึกคักเป็นพิเศษทั้งด้วยแคมเปญ-โปรโมชั่น และกิจกรรมเวิร์กช็อป ทริปถ่ายภาพที่แบรนด์กล้องแต่ละรายต่างส่งออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจ และสร้างยอดขาย หลังที่ผ่านมาทุกรายต่างระมัดระวังการใช้งบฯการตลาดและการลงทุน
ระดมกิจกรรม-บุกเซ็กเมนต์ใหม่
ด้านทิศทางของนิคอนนั้น นายวีระอธิบายว่า ช่วงโค้งท้ายนี้จะทุ่มงบฯการตลาดมากเป็นพิเศษเพื่อปลุกยอดขาย เน้นสร้างความคึกคักด้วยกิจกรรมและแคมเปญ-โปรโมชั่น ไม่ว่าจะเป็นเดินสายจัดเวิร์กช็อป-ทริปถ่ายภาพทั่วประเทศ 4-5 ครั้ง/เดือน โดยเตรียมจัดเวิร์กช็อปในกาญจนบุรี พัทยา ภูเก็ต และจังหวัดทางภาคเหนือ โดยมีไฮไลต์เป็นกิจกรรมช่วงคริสต์มาส และกิจกรรมปีใหม่ รวมถึงสนับสนุนพันธมิตรคู่ค้าทำแคมเปญ-โปรโมชั่นกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่อง
เน้นไฮไลต์กล้อง 3 รุ่น คือ Z30 จะเน้นคนรุ่นใหม่ วีล็อกเกอร์ ในทำวิดีโอ เพื่อโพสต์บนโซเชียล ด้วยกิจกรรมเน้นแนวไลฟ์สไตล์ ส่วน Z6II นั้นเป็นกล้องมัลติฟังก์ชั่นเด่นทั้งภาพนิ่งและเคลื่อนไหว จึงจะเน้นการจัดเวิร์กช็อป touch and try ที่โชว์ศักยภาพด้านวิดีโอมากขึ้น ส่วน Z9 จะเป็นกิจกรรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟกลุ่มเล็กมากและเฉพาะทาง เพื่อโชว์ศักยภาพของกล้อง
พร้อมกับรุกเข้าสู่เซ็กเมนต์ใหม่ ๆ เพื่อจับผู้บริโภคที่มีศักยภาพอย่าง วงการกีฬาฟุตบอลและกอล์ฟ หลังกระแสบูมของศูนย์ฝึกฟุตบอลหรือฟุตบอลอะคาเดมีที่ครอบครัวระดับบนนิยมส่งบุตรหลานไปฝึก ทำให้เกิดความต้องการกล้องสำหรับถ่ายภาพ-วิดีโอการซ้อมหรือแข่งขันไว้เป็นที่ระลึก เช่นเดียวกับนักบอล-แฟนบอลของทีมฟุตบอลไทยลีก ซึ่งหันมาซื้อกล้องนิคอน หลังเห็นช่างภาพของทีม อาทิ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, บีจีปทุม, ชลบุรีเอฟซี และเชียงราย ยูไนเต็ด ซึ่งบริษัทเป็นสปอนเซอร์ใช้งาน
เช่นเดียวกับวงการกอล์ฟ ซึ่งจากการเป็นออฟฟิเชียลพาร์ตเนอร์ของไทยแอลพีจีเอ พบว่านักกอล์ฟรุ่นใหม่และทีมงานต้องการกล้องเพื่อถ่ายภาพ-วิดีโอ เพื่อนำไปทำโปรไฟล์สำหรับการหาสปอนเซอร์ด้วยเช่นกัน จึงเตรียมเข้าไปจัดกิจกรรมที่เน้นการถ่ายภาพสไตล์พอร์เทรต คลิปวิดีโอสั้นเพื่อให้ตอบโจทย์ครอบครัว
“กลุ่มครอบครัวของนักกีฬาและแฟนคลับฟุตบอลนี้ถือเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีศัยภาพและยังไม่มีคู่แข่งเข้ามาทำตลาด”
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของปีงบฯนี้ (สิ้นสุด มี.ค. 66) ไว้ที่ 25% แต่เชื่อว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันอาจสามารถเติบโตได้มากกว่านั้นอีก 15% หรือเติบโต 40% จากปีที่แล้ว ซึ่งสิ้นเดือน ธ.ค. น่าจะเห็นความชัดเจน