WARRIX ลุ้นไอพีโอเข้าตลาด mai ทันสิ้นปี’65 นี้

วอริกซ์ คาดเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO เร็ว ๆ นี้ จ่อเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปี 2565 หวังนำเม็ดเงินหนุน 2 โครงการใหญ่ทั้ง Warrix Lifestyle @ Siam Square เจาะตลาดพรีเมี่ยม และศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา-สำนักงาน บริเวณถนนพระราม 9 ลุย กทม. ฝั่งตะวันออก

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 นางสาวนลิน วิริยะเสถียร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวาณิชธนกิจ-ตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถจองซื้อหุ้น IPO ของ WARRIX ได้ในเร็ว ๆ นี้ และคาดว่าจะพร้อมเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปี 2565

โดยการเสนอขายหุ้นสามัญของ WARRIX ในครั้งนี้ มีจำนวนไม่เกิน 180 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ มีบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม

ด้านนายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) อธิบายว่า WARRIX มีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.5 บาทต่อหุ้น โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 210 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 420 ล้านหุ้น

ส่วนวัตถุประสงค์ของการระดมทุนนั้น จะนำเม็ดเงินไปใช้ลงทุนในโครงการก่อสร้างศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาและสำนักงาน ถนนพระราม 9 เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์สุขภาพและออกกำลังกาย และใช้เป็นสำนักงาน ส่วนที่เหลือนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการและดำเนินการโครงการต่าง ๆ ในอนาคต

ลุย 2 โครงการใหญ่ เจาะพรีเมี่ยม – กทม. ตะวันตก

ด้านนายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX กล่าวว่า โครงการลงทุนที่วางแผนไว้ในอนาคต ประกอบด้วย 1) โครงการ Warrix Lifestyle @ Siam Square เป็นการขยายสาขาแห่งใหม่ เพื่อยกระดับแบรนด์และผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดระดับพรีเมี่ยม รองรับธุรกิจไลฟ์สไตล์ในอนาคต คาดว่าจะเปิดให้บริการเฟสแรกภายในปีนี้

2) โครงการศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา และสำนักงาน บริเวณถนนพระราม 9 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2567

ทั้งนี้เป็นไปตามแผนที่บริษัทจะมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจ Sport – Health & Lifestyle แบบครบวงจร โดยใช้จุดแข็งการเป็นผู้นำในตลาดสินค้ากีฬา ต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ รวมถึงรุกเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ

โดยปัจจุบันมีศูนย์วิทยาศาสตร์และการกีฬา หรือ Warrix Physiotherapy & PerformanceStudio 2 แห่ง ที่ Stadium One และสาขา 2 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีบริการด้านการรักษา ฟื้นฟู ให้คำปรึกษา ให้องค์ความรู้ด้านโภชนาการ จากทีมนักกายภาพที่ได้รับใบอนุญาตและเทรนเนอร์มืออาชีพ พร้อมด้วยหลักสูตรเฉพาะทางสำหรับฟุตบอล มาราธอน กอล์ฟ จักรยาน และออฟฟิศซินโดรม

และเตรียมพัฒนาสาขาที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็น WARRIX Run Hub พื้นที่สำหรับพัฒนาศักยภาพนักกีฬาและผู้ชอบการออกกำลังกาย รวมถึงร้านขายสินค้าและอุปกรณ์วิ่ง ซึ่งเตรียมจะเปิดให้บริการในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้

รวมถึงยังมีการจัดกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมซึ่งเป็นการ Cross-Industry Strategy เช่น เทศกาลดนตรี เทศกาลอาหาร และแคมปิ้ง พร้อมทั้งมีแผนเพิ่มไลน์การผลิตสินค้าให้ครอบคลุม เช่น เสื้อโปโล สปอร์ตบรา สตรีตแวร์ รองเท้าแฟชั่น กระเป๋า หมวก หน้ากากผ้ากันฝุ่น อุปกรณ์ออกกำลังกาย และอุปกรณ์โยคะ เป็นต้น

อุตฯ เสื้อผ้า-อุปกรณ์กีฬา 3 หมื่น ล. โตต่อเนื่อง

ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมสินค้ากีฬานั้น นายพงศ์วรรธน์ ติยะพรไชย ผู้อำนวยการกลุ่มงานขาย บริษัท วอริกซ์ฯ กล่าวว่า อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬามีมูลค่า 30,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 15-20% ต่อปี จากพฤติกรรมของผู้คนที่หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้กีฬาและกิจกรรมสุขภาพต่าง ๆ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการวิ่ง การขี่จักรยาน การออกกำลังกายที่บ้านด้วยตัวเอง และโยคะ เป็นต้น

รวมทั้งยังมีแรงหนุนจากการกลับมาแข่งขันของรายการกีฬาสำคัญอย่างเช่น FIFA World Cup 2022, AFF Mitsubishi Electric Cup 2022 และโอลิมปิกในปี 2024 อีกด้วย ทำให้บริษัท จะได้รับประโยชน์จากเทรนด์การเติบโตเหล่านี้

โดยปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทมาจากการจำหน่ายสินค้าในกลุ่ม Non-Licensed ได้แก่ สินค้าคลาสสิก สินค้าคอลเล็กชั่น และสินค้าทำตามคำสั่ง (Made to Order) ที่มีสัดส่วนรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 34.90% 28.26% และ 16.21% ตามลำดับ ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม สามารถสวมใส่ได้หลากหลายโอกาส และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง


สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่จะลดการพึ่งพาสินค้าภายใต้สัญญาสนับสนุน และสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือจะมาจากสินค้าในกลุ่ม Licensed ซึ่งประกอบด้วย สินค้าฟุตบอลทีมชาติ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 12.68% สินค้าสโมสรฟุตบอล 3.99% และสินค้าลิขสิทธิ์อื่น ๆ 1.89%นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าอื่น ๆ อีก 0.54% และรายได้จากการให้บริการคลินิกกายภาพอยู่ที่ 0.47%