
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดค้าปลีกปี 2566 โต 2.8-3.6% ครึ่งปีหลังยังต้องจับตา มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางความท้าทาย จากต้นทุน-กำลังซื้อ ชี้กลุ่มค้าปลีกขยายตัวได้ดี ขณะที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต-โชห่วย เผชิญความลำบาก
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์สถานการณ์และยอดขายธุรกิจค้าปลีกไทยปี 2566 ว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังอยู่บนความท้าทายรอบด้าน สอดคล้องไปกับทิศทางเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภค
โดยคาดว่าตลาดอาจขยายตัวราว 2.8-3.6% จากปี 2565 จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผลของราคาสินค้าบางรายการที่ยังคงปรับสูงขึ้นตามภาวะต้นทุน รวมถึงมาตรการช้อปดีมีคืน และการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงเลือกตั้ง ที่น่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ภาพรวมของตลาดค้าปลีกยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรก
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงต้องรอติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์ค่าครองชีพที่ยังสูง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ส่งผลให้ภาพการขยายตัวธุรกิจค้าปลีกในปี 2566 แม้จะเติบโตต่อเนื่อง แต่ยังคงเป็นไปด้วยความระมัดระวังและเผชิญกับโจทย์ท้าทายรอบด้าน ซึ่งจะมีผลต่อการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกในแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน
โดยกลุ่มค้าปลีกที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี เมื่อเทียบกับค้าปลีกกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ หลังจากที่หดตัวสูงในช่วงปี 2563-2564 จากการระบาดของโควิด ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ต โดยเฉพาะสาขาที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า คาดว่าจะยังคงขยายตัวใกล้เคียงกับปี 2565
ส่วนกลุ่มค้าปลีกที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลงจากฐานที่สูงในปี 2565 ได้แก่ ค้าปลีกภูธร (Local brand) ที่ร่วมลงทุนโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ และค้าปลีกออนไลน์ หรือ E-Commerce หลังจากเร่งตัวสูงด้วยอัตราเลข 2 หลักไปในช่วงโควิดแล้ว
ขณะที่กลุ่มค้าปลีกที่คาดว่าจะเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน ได้แก่ ไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hypermarket) หรือดิสเคาน์สโตร์ ซึ่งแม้จะได้อานิสงส์จากการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค แต่การดำเนินธุรกิจยังคงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อปานกลางลงมา ในขณะที่ โชห่วยยังคงเป็นกลุ่มค้าปลีกที่เผชิญกับความยากลำบากในการสร้างยอดขาย เนื่องจากต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยเฉพาะในด้านราคา
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในปี 2566 ธุรกิจค้าปลีกยังคงเผชิญกับต้นทุนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการแข่งขันที่ยังคงยากลำบาก โดยเฉพาะตลาดในประเทศที่การบริโภคโดยรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น ในระยะสั้น น่าจะฟื้นตัวหรือเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก ภายใต้ความท้าทายในปัจจุบันที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องของต้นทุน และการแข่งขัน
สำหรับระยะข้างหน้า รูปแบบของการทำธุรกิจค้าปลีก หรือ Landscape น่าจะเปลี่ยนแปลงไป ตามการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ อัตราการเกิดใหม่ของประชากรที่ลดลง เทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรม และการดำเนินธุรกิจในอนาคต