เอ็มไอ กรุ๊ป คาด เลือกตั้ง 2566 จะกระตุ้นเศรษฐกิจและมีเม็ดเงินสะพัดในระบบกว่า 10,000 ล้านบาท โดยสื่อโซเชียลมีเดียจะเป็นสมรภูมิหลัก ในการหาเสียงช่วงเลือกตั้ง
วันที่ 13 มีนาคม 2566 นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือเอ็มไอ กรุ๊ป เปิดเผยว่า การเลือกตั้งทั่วไป ที่คาดว่าน่าจะจัดขึ้นในช่วงไม่เกินกลางเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีเม็ดเงินผ่านเศรษฐกิจเลือกตั้งถึง 10,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ราคาทองวันนี้ (17 เม.ย. 67) ปรับ 8 ครั้ง ขึ้น 450 บาท รูปพรรณบาทละ 42,150 บาท
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
โดยเม็ดเงินดังกล่าวไม่ได้มาจากสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นหลัก แต่น่าจะมาจากกิจกรรมลงพื้นที่หาเสียงของผู้สมัครและพรรคการเมือง ที่กระตุ้นให้เกิดเงินหมุนเวียนเข้าสู่กระเป๋าผู้บริโภค ให้มีกำลังจับจ่ายสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าคอนซูเมอร์โปรดักต์เพิ่มขึ้น
ส่วนงบโฆษณาที่ใช้กับสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในการหาเสียงเลือกตั้ง MI GROUP คาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินไม่ถึง 100 ล้านบาท เนื่องจากแลนด์สเคปของการหาเสียงเปลี่ยนไป นักการเมืองไม่ต้องการสร้างอแวร์เนส แต่ต้องการ สร้างคอนเทนต์ บนโลกออนไลน์ ซึ่งถ้าคอนเทนต์ดีก็จะเกิดการแชร์ ถือว่าได้หน้าสื่อฟรี จึงต้องเลือกใช้สื่อที่มีอิมแพกต์ที่ดีที่สุด ในวงเงินค่าใช้จ่ายที่กำหนดไว้ ดังนั้น การหาเสียงช่วงเลือกตั้ง โซเชียลมีเดียจะเป็นสมรภูมิหลัก
“เม็ดเงินหมื่นล้านที่เข้าสื่ออาจจะมีไม่ถึงร้อยล้านด้วยซ้ำ เพราะในช่วง 2-3 ปีมานี้แลนด์สเคปเปลี่ยน เดิมเน้นสื่อทีวี สิ่งพิมพ์ และป้ายโฆษณา แต่ปัจจุบันมุ่งไปที่ออนไลน์เป็นหลัก แต่ ณ ปัจจุบันการมีคอนเทนต์ที่แรงจะได้สื่อฟรี แถมสามารถกระจายตัวไปอยู่ในสื่อทีวีได้ด้วย เช่น การดีเบต ดังนั้น ออนไลน์จะเป็นสมรภูมิหลักแน่นอนในช่วงเลือกตั้ง จากในอดีตที่เม็ดเงินจะไหลไปที่หนังสือพิมพ์และทีวี” นายภวัต กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ตาม MI Group ก็มีเคล็ดลับสื่อสารการตลาด เทรนด์การตลาด มาแนะนำเพื่อต่อยอดและคว้าโอกาสในการแจ้งเกิดและเติบโตของธุรกิจในในปี 2023 ดังนี้
คอนเทนต์ไม่ปังจริง อย่าคิดสื่อสารกับ mass ด้วยคอนเทนต์เดียวกัน
เม็ดเงินค่าโฆษณาเป็นเงินลงทุนของแบรนด์ที่ต้องวางแผนใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง และต้องเกิดความคุ้มทุนสูงสุด ดังนั้นการออกแบบคอนเทนต์ให้โดนใจผู้รับสารจึงสำคัญมาก โดยต้องสร้างความรู้สึกร่วม (engagement) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งผู้รับสารในยุค digital-led society ในปัจจุบันมีความแตกต่างกันมากขึ้น และเป็นกลุ่มย่อยมากขึ้น Segmented World Fragmented World (วัฒนธรรมย่อย)
หากผู้รับสารไม่รู้สึกร่วม นอกจากจะการสื่อสารจะไม่เกิดผล อาจก่อให้เกิดผลเชิงลบก็เป็นไปได้ ถ้าเกิดการ miscommunication เกิดขึ้น เช่นความรู้สึกเบื่อ รำคาญ และส่งผลลบต่อแบรนด์ในภาพรวมในที่สุด
ลำดับความสำคัญทางธุรกิจของกลุ่มเป้าหมายย่อย (Subculture) ต่างๆ
แบรนด์จะต้องเข้าใจและเข้าถึง Insight ของแต่ละกลุ่มเป้าหมายย่อย (วัฒนธรรมย่อย) เพื่อออกแบบคอนเทนต์ให้โดนใจแต่ละกลุ่ม ซึ่งโดยเฉลี่ยในปัจจุบันแต่ละสินค้า และบริการจะมีประมาณ 6 กลุ่มเป้าหมายย่อย ซึ่งการเข้าใจถึงวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มเป้าหมายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เพราะถึงแม้กลุ่มเป้าหมายจะมีลักษณะร่วมทางประชากรศาสตร์เหมือนกัน เช่น เพศ อายุ และรายได้ แต่อาจมีความต่างกันที่ความสนใจในเชิงวัฒนธรรม เช่น สายนักเดินทาง สายสะสมของเล่นในอดีต สายเกมเมอร์ สายเอฟซีศิลปิน สายวาย(ยาโออิ) เป็นต้น
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ขาด ในการเลือกสื่อสารจุดขายเฉพาะอย่างให้โดนใจกลุ่มเฉพาะทาง ด้วยช่องทางเฉพาะ เช่น เครื่องดื่มผสมวิตามิน ขายประโยชน์ด้านดูแลผิวให้กับสายเอฟซีศิลปิน โดยการสปอนเซอร์ศิลปิน หรือ ขายประโยชน์ด้านความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าให้กับสายเกมเมอร์ โดยลงในพื้นที่โฆษณาเกมออนไลน์ เป็นต้น เพื่อให้เกิด engagement สูงสุด
โดยการลำดับความสำคัญในเชิงธุรกิจของกลุ่มเป้าหมายย่อยต่างๆ ทำได้โดยเครื่องมือวิจัยต่างๆ นอกจากให้เข้าใจ insight และยังเป็นการประเมินจำนวนของกลุ่มเป้าหมายย่อยว่ามากหรือน้อย พฤติกรรมการซื้อว่าซื้อเยอะหรือน้อย และความภักดีต่อแบรนด์ว่าชั่วคราวหรือยั่งยืน เพื่อหากลุ่มที่มีโอกาสที่ดีที่สุด ที่คุ้มเม็ดเงินโฆษณาที่สุด
Key Opinion Leaders (KOLs) และ Key Opinion Consumers (KOCs) ดัน Creator Economy ให้มีบทบาทเพิ่มขึ้นมาก กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารการตลาดในปีนี้ (Influencers, YouTuber, Blogger, TikTokers, Publishers)
KOLs และ KOCs มีบทบาทสำคัญมากที่ช่วยให้นักการตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กลุ่มคนเหล่านี้มีพลังอย่างมากที่ช่วยสร้างการรับรู้ โน้มน้าวความเชื่อ และชักจูงให้เกิดการซื้อ ในกลุ่มผู้ติดตาม
KOLs และ KOCs แม้จะมีความแตกต่างกันที่จำนวนผู้ติดตาม ความลึกซึ้งของความเชี่ยวชาญหรือความสนใจเฉพาะทาง และระดับพลังในการโน้มน้าวใจ แต่ทั้งคู่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้าง 1) การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายย่อย 2) ความไว้ใจ 3) ความรู้สึกเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วม 4) ความคุ้มทุน 5) ความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ ซึ่งเหล่านี้ต่างส่งผลดีต่อแบรนด์ทั้งในแง่ยอดขายและความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์
และผลประโยชน์ร่วมเหล่านี้ของ KOLs/KOCs และแบรนด์ได้สร้าง Creator Economy ขึ้นมาที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันในการทำ Collaboration ทั้งการค้าขายและภาพลักษณ์
- ส่องรายได้-กำไร สื่อทีวีในตลาดหุ้น ปี 2565 กับเม็ดเงินโฆษณาที่ลดลง
- ธุรกิจ-นักการตลาด ต้องรู้ “นีลเส็น” เผยเทรนด์โฆษณาฮอตปี 2566
- เลือกตั้ง 2566 แต่ละพรรคการเมือง ใช้งบหาเสียงได้เท่าไร ?