
การปรับลดภาษีสรรพสามิต ไวน์และสปาร์กกลิ้งไวน์ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย
เบื้องต้นแม้จะสร้างเสียง “เฮ” ให้กับบรรดาผู้ประกอบการไวน์และบรรดาคอไวน์อยู่บ้าง เพราะภาษีสรรพสามิตที่ลดลง อาการขาเข้าได้รับการยกเว้น และสิ่งที่จะตามมาก็คือ ไวน์ที่วางจำหน่ายในตลาดจะมีราคาที่ลดลง
หากคิดคำนวณคร่าว ๆ ว่ากันว่า เบื้องต้น หากเป็นไวน์ราคาไม่สูง โดยเฉพาะบรรดาคอมเมอร์เชียลไวน์ ก็น่าจะลดลงประมาณขวดละ 100-200 บาท หรือหากเป็นไวน์ที่ราคาแพงขวดละ 2,000-2,500 บาทขึ้นไป ราคาก็น่าจะลดลงมาประมาณขวดละ 400-500 บาทต่อขวดเลยทีเดียว
อย่างที่รับรู้กันว่า งานนี้ กระทรวงการคลัง เคาะเครื่องคิดเลขแล้ว และยอมสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 600-650 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.ภาษีสรรพสามิตจากไวน์ลดลง 150 ล้านบาทต่อปี 2.ภาษีสรรพสามิตจากกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ลดลง 70 ล้านบาท และ 3.การยกเว้นอากรการนำเข้าไวน์ ที่ส่งผลให้กรมศุลกากรสูญเสียรายได้ประมาณ 429 ล้านบาทต่อปี
ประชาพิจารณ์ รื้อระบบเก่า
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า แต่ถัดมาอีกไม่กี่วัน กรมสรรพสามิต ได้เปิดทำประชาพิจารณ์ ร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศกรมสรรพสามิต ผ่าน www.excise.go.th รวดเดียว 6 ฉบับ กำหนดระยะเวลาการแสดงความเห็นตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม-19 มกราคม 2567 หรือมีระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น
หนึ่งในร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศกรมสรรพสามิตที่ทำให้ผู้ประกอบการไวน์มีความกังวลและส่งผลกระทบกับตลาดไวน์ทั้งระบบ ก็คือ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 ที่กรมสรรพสามิต เตรียมจะยกเลิกการใช้หนังสือแต่งตั้งตัวแทนขายสุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรแต่เพียงผู้เดียวเฉพาะสินค้าสุราแช่ชนิดไวน์และสุราแช่ชนิดสปาร์กกลิ้งไวน์ที่ทำจากองุ่น
พร้อมกันนี้ ยังมีร่างกฎกระทรวง การอนุญาตการนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่…) พ.ศ. … ที่เป็นการกำหนดคุณสมบัติผู้ที่ต้องการจะขอใบอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร โดยมีการแบ่งใบอนุญาตออกเป็น 5 ประเภท และกำหนดการยื่นขอใบอนุญาต เช่น ใบอนุญาตประเภทที่หนึ่ง ต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขายสุราประเภทที่ 1, ใบอนุญาตประเภทที่สอง ต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขายสุราประเภทที่ 2 และเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เป็นต้น
โดยกฎกระทรวงนี้จะใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
นี่เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะสร้างรายได้เพื่อชดเชยจากการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงดังกล่าว
ตลาดเปิดกว้าง-รายใหม่แห่นำเข้า
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการไวน์รายหนึ่ง แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า เชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้ว หลังการทำประชาพิจารณ์ กรมสรรพสามิต ก็จะมีประกาศเรื่องนี้ออกมา โดยการยกเลิกการใช้หนังสือแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายไวน์และสปาร์กกลิ้งไวน์ดังกล่าวจะเป็นการเปิดกว้างให้มีผู้ประกอบการนำเข้าไวน์มากขึ้น ปัจจุบันตลาดไวน์ในบ้านเรามีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 4-5 ราย อาทิ แอมโบรส ไวน์, อินดิเพนเดนท์ ไวน์ แอนด์ สปิริต หรือ IWS เป็นต้น ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบโดยตรง ส่วนที่เหลือเป็นผู้นำเข้าอิสระรายเล็กรายน้อยมีมากกว่าร้อยราย
ตามหลักการของ กรมสรรพสามิต หรือกระทรวงการคลัง การยกเลิกการใช้หนังสือแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายตามประกาศหรือกฎกระทรวงดังกล่าวจะเป็นการเปิดกว้างให้มีผู้นำเข้าไวน์รายใหม่ ๆ กระโดดเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะมีการนำเข้าไวน์ในปริมาณที่มากขึ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น และแน่นอนว่าผู้ดื่มหรือผู้บริโภคไวน์ก็จะได้ประโยชน์ในแง่ราคาไวน์ราคาถูก และจำนวนร้านขายไวน์ที่จะมากขึ้น
“แต่ในความเป็นจริงการมีผู้นำเข้ามากขึ้น และมีการนำเข้าไวน์จากต่างประเทศในจำนวนปริมาณที่มากขึ้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะสะท้อนว่า การบริโภคไวน์จะเติบโตขึ้นเป็นเงาตามตัว หรือคนจำนวนมากจะหันมาดื่มไวน์มากขึ้น ซึ่งปกติในแต่ละปีตลาดไวน์จะเติบโต 5-10% ยิ่งตอนนี้ เศรษฐกิจก็ยังไม่ดี นักท่องเที่ยวยังไม่มา ธุรกิจโรงแรมก็ยังไม่ฟื้น ปัจจุบัน มูลค่าตลาดรวมของไวน์ในเมืองไทย คนในวงการคาดการณ์ว่าตัวเลขน่าจะอยู่ที่ประมาณ 9,500-10,000 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ที่ตัวเลขเคยสูงถึง 12,000 ล้านบาท”
แหล่งข่าวยังคาดการณ์ด้วยว่า จากนี้ไป ด้วยกฎกติกาที่เปิดกว้างและเอื้อต่อการนำเข้ามากขึ้น เชื่อว่าผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ที่มีช่องทางจำหน่ายของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ท็อปส์, เซเว่นอีเลฟเว่น, แม็คโคร, โลตัส รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร หรือดิวตี้ฟรี ฯลฯ จะผันตัวมาเป็นผู้นำเข้าไวน์เอง โดยไม่ต้องสั่งซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือผู้นำเข้ารายอื่น ๆ
ตอนนี้ สิ่งที่ผูู้ประกอบการกังวลมี 2 ประเด็นหลัก ๆ คือ การมีผู้ประกอบการนำเข้าไวน์เพิ่มขึ้น และหากมีการนำเข้ามามากเกินไป อาจจะทำให้เกิดภาวะล้นตลาดและสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ Price Warหรือสงครามราคาตามมา จากนั้นก็คงจะมีรายที่ไปไม่ไหวต้องล้มหายตายจาก และประเด็นถัดมา
ที่น่าห่วงอีกอย่างการนำเข้าที่มากขึ้นจากผู้ประกอบการจำนวนมาก อาจจะเป็นช่องว่างที่ทำให้มีการนำไวน์ปลอม ไวน์เถื่อน เข้ามาขาย รวมถึงการนำน้ำผลไม้มากรอกใส่ขวดไวน์ขายเหมือนกับเหล้านอกเคยเจอ
“ตอนนี้ตลาดไวน์ค่อนข้างปั่นป่วนโดยเฉพาะรายที่มีสต๊อกเดิมอยู่มากและต้องเร่งปรับตัว หลายรายอยู่ระหว่างวางแผนจะทยอยล้างสต๊อกทั้งที่มีอยู่ในมือ สต๊อกที่มีอยู่ตามช่องทางต่าง ๆ รวมถึงเอเย่นต์ ซึ่งคาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือน จากนั้นก็จะทยอยนำเข้าไวน์ใหม่เข้ามา”
กระทบ “ไวน์ไทย” หนัก
แหล่งข่าวจากวงการไวน์อีกรายหนึ่งย้ำว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งเป็นหางเลขของ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 67 ก็คือ การยกเว้นภาษีนำเข้าไวน์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะไวน์ที่มาจากยุโรป เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี และโปรตุเกส ที่ส่วนใหญ่เป็นไวน์ที่มีมูลค่าสูง เดิมต้องเสียภาษีนำเข้าสูงประมาณ 50-60% ของราคา แต่เมื่อมีการยกเว้นภาษีนำเข้าก็จะได้รับประโยชน์จากตรงนี้และยังจะได้รับประโยชน์จากลดภาษีสรรพสามิตด้วย ซึ่งจะทำให้ไวน์จากยุโรป เข้ามาตีตลาดมากขึ้นและจะกระทบกับผู้ประกอบการไวน์ไทย ไม่ว่าจะเป็น พีบีวัลเล่ย์ เขาใหญ่ ไวน์เนอรี่, สยามไวเนอรี่, กราน-มอนเต้ เป็นต้น
หากจะกล่าวว่า มติ ครม.นี้ ไม่สนับสนุนผู้ประกอบการไวน์ไทยก็คงไม่ผิดนัก
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายนี้ ต้องไม่ลืมว่า มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ที่เห็นชอบการปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่าจากอัตราร้อยละ 10เป็นร้อยละ 5 เป็นระยะเวลา ประมาณ 1 ปี ตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ (ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา) ถึง 31 ธันวาคม 2567 เท่านั้น
อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็น Time Limit ครั้งแรกของกรมสรรพสามิตเลยก็ว่าได้