โอสถสภา ลุยขยายพอร์ตสินค้ากลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์ คาดปี’70 รายได้แตะ 4 พันล้าน

โอสถสภา

โอสถสภาเดินหน้ารุกตลาด เตรียมขยายพอร์ตโฟลิโอสินค้ากลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์-เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อหวังขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ตั้งเป้าภายในปี 2570 ผลิตภัณฑ์กลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์เติบโต 4,000 ล้านบาท 

วันที่ 4 เมษายน 2567 นางสาวสุทิพา ปัญญามหาทรัพย์ Chief Home & Personal Care and Health Care Officer เปิดเผยว่า ตลาดผลิตภัณฑ์เพอร์ซันนอลแคร์และโฮมแคร์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับตลาดผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ที่พร้อมขยายตัวตอบรับการใช้ชีวิตนอกบ้าน เทรนด์ความงาม และการดูแลตัวเองที่เริ่มกลับมาอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย

โดยโอสถสภาได้มีการศึกษาเทรนด์และไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคอยู่เสมอ พร้อมมองหาโอกาสและวางกลยุทธ์สร้างสรรค์สินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างทันท่วงที ซึ่งได้ผสานจุดแข็งด้านความอ่อนโยนและความหอม วางกลยุทธ์การตลาดขยายการเติบโตทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงาม เพื่อครองใจกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างเหนียวแน่น และพร้อมขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่

ตอกย้ำสินค้าสำหรับเด็กตัวจริง

สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่ม House of Mildness ที่มีเบบี้มายด์เป็นแบรนด์ชูธงที่อยู่คู่ครอบครัวคนไทยมาตลอดกว่า 30 ปี ครองตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สบู่เหลวอาบน้ำเด็กอย่างแข็งแกร่ง ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 38.3% ในปีที่ผ่านมา โดยโอสถสภาได้ปรับกลยุทธ์การตลาดเจาะอินไซต์คุณแม่ ด้วยความเข้าใจถึงความต้องการของคุณแม่ยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นในการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดและต้องการให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีและเติบโตอย่างมีความสุข

ทั้งนี้ เบบี้มายด์จึงได้ปรับ Brand Proposition ใหม่ “The Power of Gentle Touch พลังสัมผัสอันอ่อนโยน สานสัมพันธ์ให้แข็งแรง” เพื่อสื่อถึงความสำคัญของพลังสัมผัสอันอ่อนโยนของแม่ จากการทำกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ ที่คุณแม่สามารถทำได้ทุกวัน เช่น การอาบน้ำ การทาแป้ง การนวดโลชั่นให้ลูก พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย ด้วยสูตรใหม่ “เอสเซนซ์ออร์แกนิก 100%” ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก

Advertisment

และในไตรมาส 2 ของปีนี้ เบบี้มายด์เตรียมปล่อยแคมเปญ “Momchestra” เปิดออดิชั่น ชวนคุณแม่ร่วมส่งคลิปร้องเพลงกล่อมลูกเข้านอน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในหนังโฆษณาเบบี้มายด์ ตอกย้ำแนวคิดไม่มีใครที่จะทำให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายและหลับได้ที่สุดเท่ากับแม่

ขยายพอร์ต-สู่กลุ่มเป้าหมายใหม่

นอกจากนี้ ยังได้ขยายกลยุทธ์ด้านการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ศักยภาพด้านการกระจายสินค้าของโอสถสภาผ่านกว่า 400,000 ร้านค้าทั่วประเทศ และขยายสู่ช่องทางอีคอมเมิร์ซเพื่อตอบโจทย์คุณแม่ยุคใหม่ที่ไม่ค่อยมีเวลา

โดยเบบี้มายด์ สามารถครองตำแหน่งสินค้าผลิตภัณฑ์อาบน้ำและดูแลผิวเด็กยอดขายอันดับ 1 (วัดจากยอดขายร้าน Official Store) บนแพลตฟอร์ม Lazada และ Shopee โดยปัจจุบันเบบี้มายด์มียอดขายจากช่องทางดังกล่าวเติบโตขึ้นถึง 7 เท่า (693%) นับจากปีแรกที่เริ่มขายบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ

คิดค้นนวัตกรรม-ผสานจุดเด่น

สำหรับด้านผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม House of Beauty แบรนด์ทเวลฟ์พลัส และเอ็กซิท มีการเติบโตต่อเนื่อง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตนอกบ้านที่กำลังเติบโต โดยโอสถสภามีจุดแข็งด้านการใช้น้ำหอมที่มีคุณภาพสูง และสร้างความแตกต่างผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

Advertisment

ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้สามารถระงับกลิ่นกายได้ยาวนานตลอดวัน ดูแลสุขภาพผิวใต้วงแขนอย่างอ่อนโยน ลดริ้วรอยใต้วงแขน ขาวกระจ่างใส และแห้งไว ผลักดันให้แบรนด์ทเวลฟ์พลัส เป็นผู้นำอันดับ 2 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกกลิ้งระงับกลิ่นกายสำหรับผู้หญิง ด้วยส่วนแบ่งตลาด 10.7% และด้านเอ็กซิท ตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำตลาดอันดับ 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้ชาย

ล่าสุด ทเวลฟ์พลัสได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “ทเวลฟ์พลัส โรลออน สมูท เรเดียนซ์ ไฮยา” ที่มาพร้อมเทคโนโลยีนำสมัย Hy-N นวัตกรรมไบโอพอลิเมอร์ ช่วยนำส่งส่วนผสมให้มีประสิทธิยิ่งขึ้น รวมถึงยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกับช่องทางการขายแบบเอ็กซ์คลูซีฟอื่น ๆ เช่น Twelve Plus Brightening Perfume Lotion โลชั่นน้ำหอมกลิ่นเคาน์เตอร์แบรนด์ในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งมีวางจำหน่ายในร้านวัตสันเท่านั้น

รวมถึงการ Collabs ข้ามแบรนด์ของทเวลฟ์พลัสกับเบบี้มายด์ เป็นผลิตภัณฑ์โคโลญจ์กลิ่นแป้งเด็ก วางจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

“สำหรับแผนกลยุทธ์เพื่อรักษาความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง ครองใจกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างเหนียวแน่น และขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ทั้งนี้ เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดในเซ็กเมนต์อื่น ๆ ตามแผนยุทธศาสตร์การเติบโตระยะยาวของโอสถสภา ที่ตั้งเป้าภายใน 4 ปี รายได้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์จะเติบโต 4,000 ล้านบาท”

โอสถสภา