
สัมภาษณ์พิเศษ
แม้ปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก World Bank ประเมินว่าปี 2567 เศรษฐกิจโลกเติบโตคงที่ที่ 2.6% แต่ยังเป็นการโตแบบชะลอตัว เมื่อเทียบกับทศวรรษที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ยสูง 3.1% ต่อปี
ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังถูกตั้งคำถาม “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “คุณแอ๊ว-ศุภลักษณ์ อัมพุช” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ถึงแม้โดยตัวเดอะมอลล์ กรุ๊ป จะเติบโตมาด้วยธุรกิจศูนย์การค้า ล่าสุดคือ การสร้างย่านการค้า ดิ เอ็มดิสทริค แต่ในทางปฏิบัติแล้วกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ
“ก็รู้อยู่แล้วว่าการส่งออกมีปัญหา ราคาสินค้าสู้จีนไม่ได้เลย แล้วอุตสาหกรรมเขาไปเวียดนามกันหมด แต่เราจะหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้”
“ท่องเที่ยว” เท่านั้น
“แอ๊วห่วงประเทศไทยมาก” เป็นคำพูดซ้ำ ๆ ของหญิงเหล็กวงการค้าปลีกไทยที่พูดขึ้นตลอดเวลาของการสัมภาษณ์พิเศษในครั้งนี้
อาจเป็นเพราะความเป็นจริงที่ทุกคนสัมผัสได้ในขณะนี้ก็คือภาคธุรกิจระมัดระวังทุกย่างก้าวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งเธอก็เชื่อว่าในยามที่อุตสาหกรรมอื่น ๆ กำลังประสบปัญหา มีแต่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการเท่านั้นที่ยังคงเป็นหัวหอกสำคัญ
“เราเป็น Window of the World มีนักท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะประเทศไทยเปิดกว้าง ไม่ว่าจะศาสนาอะไร หรือจะเป็น LGBTQ ในขณะที่หลาย ๆ ประเทศปิดกั้น แต่เราไม่มีปัญหา อิสราเอส รัสเซีย ยูเครน ไม่ว่าใครจะมีปัญหา แต่ทุกคนมาเที่ยวเมืองไทยได้หมด”
ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย และมีความได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถึงแม้เราจะมีคุณสมบัติในการเป็น Window of the World แต่ก็ต้องปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
“ระดับล่างไม่มีแล้ว มาไม่ไหว จะเห็นว่าตอนนี้เราไม่ค่อยมีกรุ๊ปทัวร์เหมือนเมื่อก่อน คนที่ทําทัวร์เนี่ยต้องเปลี่ยนตัวเองเป็น FIT รองรับกำลังซื้อระดับกลาง เพราะระดับล่างมันไม่เหลือแล้ว เหมือน SMEs ประเทศไทยตายเดี้ยงหมดแล้ว”
เดินหน้า Window of the World
ถึงจะเป็น Window of the World แต่ก็ต้องปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และอย่าไปหลงดีใจกับยอดขายลักเซอรี่แบรนด์ในช่วงโควิด-19
“หลังจากเปิดโควิด คนละเรื่องแล้ว ตอนโควิดเนี่ยโอ้โหตัวเลขขึ้นกันกระหน่ำเลย ขายดีจนตกใจ เพราะคนไทยไปไหนไม่ได้ แต่หลังโควิดไม่ใช่แล้ว คือ Is the Fact Trap”
“เราเป็นประชาชนคนหนึ่ง แอ๊วก็ 69 แล้ว จะเอาไปทำไมเงินทองเยอะแยะ แอ๊วอยากทำเพื่อประเทศ เป็น drive ของแอ๊ว ยังมี knowledge ยังมีกำลังอยู่ คือ ทำให้ประเทศไทยขึ้นให้ได้”
สิ่งที่ “แอ๊ว” อยากเห็นก็คือ การเดินหน้านโยบายต่าง ๆ ที่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และบริการ อาทิ BOI ก่อนหน้านี้มุ่งส่งเสริมการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม เมื่อการลงทุนลดลง ควรเปลี่ยนนโยบายมาสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวดีมั้ย เพื่อสร้าง Artificial Attraction ใหม่ ๆ เพราะเราขายของเก่ามานานแล้ว
“ดูง่าย ๆ เมื่อก่อนดูไบมีอะไร มีประชากรแค่ 2 ล้านคน แต่ดำเนินนโยบายที่ฉลาดมาก สร้าง Artificial Attraction สร้างอินฟราสตรักเจอร์ และก็มีนโยบายภาษีที่จูงใจ จนกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการท่องเที่ยวโลก”
เร่งสร้างอินฟราสตรักเจอร์
ในเมื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว และบริการ คือเครื่องยนต์เดียวที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว การลงทุนด้านอินฟราสตรักเจอร์ (Infrastructure) โดยเฉพาะการลงทุนในสนามบินนานาชาติหลัก จำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนให้เร็วที่สุดเพื่อดึงคนเข้าประเทศ แม้ว่าเราจะมีการสร้างรันเวย์ใหม่ แต่การสร้างตัวเทอร์มินอลยังไม่เริ่มดำเนินการ เพราะสนามบินคือประตูบ้านที่สำคัญ
ตอนนี้แอร์พอร์ตสิงคโปร์จะเป็น 120 ล้านคน หรือฮ่องกงอีกไม่นานจะรองรับได้ถึง 135 ล้านคน เรายังได้แค่ 60 ล้านคน ส่วนที่กำลังจะขยายก็ต้องรอถึง 7 ปี หากเราไม่สู้สิงคโปร์ ฮ่องกง อนาคตเราจะสู้เขาไม่ได้ วันนี้มันต้องแข่งกันด้วยฮับ Hub of Asia เราต้องทำให้ได้
“เวลาสนามบินขยายตัวก็จะมีสายการบินเข้าไปลงมากขึ้น ซึ่งตอนนั้นไทยก็อาจจะช้าไปแล้ว ดังนั้นเราต้องแข่งกันด้วย Hub of Asia ซึ่งเราต้องเอามาให้ได้ เพราะถ้าเราเอามาไม่ได้ ก็เสร็จเลย”
ดึง บ.ข้ามชาติตั้ง Head Office
ดำเนินนโยบาย Regional Head Office ดึงบริษัทข้ามชาติย้าย Regional Head Office มาตั้งในประเทศไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน หรือ BOI ผ่านนโยบายที่น่าดึงดูด อาทิ สิทธิพิเศษทางด้านภาษี (Tax Privilege) กำหนดหลักเกณฑ์ว่าให้เข้ามาได้กี่คน เอาใครเข้ามาได้บ้าง ลงทุนเท่าไหร่ สามารถซื้อบ้าน ซื้อรถ ฯลฯ
ยกตัวอย่างเช่น ดูไบ ยกเว้นเก็บภาษีเงินได้บุคคลของคนต่างชาติที่เข้าไปทำงานในประเทศของเขา แน่นอนหากประเทศไทยมีบริษัทข้ามชาติมาตั้ง Head Office ก็จะเกิดการใช้จ่ายเงินด้านอื่น ๆ ตามมา เช่น การจัดประชุม สัมมนา เป็นต้น
“วันนี้สิงคโปร์แพงมาก ต้นทุนในเมืองไทยถูกกว่ามาก ถ้าเราทำในส่วนนี้ได้ จะทำให้ต่างชาติอยากมาอยู่ในไทยแบบระยะยาว ที่ตามมาคือธุรกิจต่อเนื่องต่าง ๆ ที่อยู่อาศัย รถยนต์ แอ๊วเคยเจอชาแนล บอกจะไปเปิด Regional Head Office ที่ฟิลิปปินส์ เพราะมี Privilege ด้านภาษี”
หนุนนโยบาย “กาสิโน”
“อีกเรื่องคือกาสิโน พูดแบบนี้ แอ๊วไม่ได้อยากทำกาสิโนนะ แต่เห็นด้วยกับนโยบาย” เหตุผลคือเชื่อว่ากาสิโนสามารถดึงเงินเข้าประเทศได้
“วันนี้ประเทศไทยเรามีโรงแรมรีสอร์ตทุกระดับครบหมด ขนาดสิงคโปร์เขาไม่ชอบการพนันเลยแต่ก็ยังยอมให้เปิดกาสิโนที่มารีนาเบย์แซนด์เพื่อดึงนักท่องเที่ยว หรือกรณีของลาสเวกัสเมื่อก่อนคือแหล่งการพนัน เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว มันคือแหล่งท่องเที่ยว ครอบครัวสามารถเข้าไปเที่ยวได้ มีโชว์ให้ดู มีอาหาร มีสถานที่ท่องเที่ยว สุดท้ายตัวที่สร้างรายได้ก็คือกาสิโน”
“คุณแอ๊ว” บอกด้วยว่า ปัจจุบันรัฐบาลจีนกำลังพัฒนาเกาะไห่หนานให้เป็นดิวตี้ฟรีทั้งเกาะ เอารายได้จากกาสิโนไปทำเรื่อง Family Entertainment ดึง Attraction ต่าง ๆ ไปลง เช่น อควาเรียม สวนน้ำ ฯลฯ
เมื่อก่อนเวลาคนจีนเที่ยวเขามาประเทศไทย แต่ตอนนี้เขาต้องการให้เงินอยู่ในประเทศเขา มันคือ Ecosystem ที่ครบวงจรมารวมกันอยู่ในเกาะนี้ ทั้งผลิต ทั้งขาย ทั้งกิน ทั้งใช้ ทั้งอยู่ ซึ่งเขาไม่ต้องพึ่งใครเลย เช่นเดียวกับเมืองเสิ่นเจิ้น กวางเจา เขาก็วางแผนพัฒนาไว้อย่างแยบยล มีการลงทุนรถไฟฟ้า
“อย่าลืมตอนนี้จีนเขามีครบหมด และอีกหน่อยเกาะไหหลำเขาก็จะทำให้เป็นดิวตี้ฟรีทั้งเกาะ เขาจะเอาเงินจากกาสิโนมาสร้างที่นี่ให้เป็น Family Attraction ที่นี่สภาพภูมิอากาศโดยรวมคล้าย ๆ ภูเก็ต ท่องเที่ยวได้ทั้งปี ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก”
นอกจากนี้ ต้องปั้นไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รวมถึงดึงอีเวนต์คอนเสิร์ตระดับโลกมาจัดงานที่ไทย เหมือนสิงคโปร์ที่มีคอนเสิร์ตเทย์เลอร์สวิฟต์ ที่สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้สูงมาก หากเราทำได้จะเห็นการดึงเม็ดเงินเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล
“เรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์เป็นวิชั่นที่แอ๊วรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องทำ เพราะว่าเป็นอะไรที่มาร์จิ้นไม่มีลิมิต เป็นเรื่องของความสุข เป็นธุรกิจเดียวที่คนไม่ได้มองเรื่องมาร์จิ้น จะขายเท่าไหร่ก็ได้”
ปรับโซนนิ่งกระตุ้นการลงทุน
จุดสำคัญในการที่จะไดรฟ์เศรษฐกิจ คือการปรับสีโซนนิ่งพื้นที่ อาทิ จากโซนนิ่งสีเหลือง ที่จำกัดการพัฒนาให้เป็นเพียงโซนที่อยู่อาศัยให้เป็นโซนนิ่งสีแดง เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทำพาณิชยกรรมได้
รวมถึงการนำที่ดินรกร้างของภาครัฐและหน่วยงานมาเปิดให้เอกชนใช้ประโยชน์ เพื่อให้รัฐมีรายได้เข้ามา และเอามาพัฒนาในส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้มากขึ้น
ทั้งหมดนี้ถ้าเราปรับเปลี่ยนได้ไว แอ๊วเชื่อว่าเราจะแข่งกับประเทศอื่นได้อย่างไม่อายใครแน่นอน เพราะประเทศไทยมีของดีอยู่แล้ว เหลือแค่ปรับให้ดีขึ้นก็จะสามารถเป็น Hub of Asia, Hub of Regional Head Office, Hub of Entertainment, Hub of Tourism ได้ในอนาคต
“เมืองไทยไม่ยากเลยที่จะหาเงินเข้าประเทศ”
Bangkok Mall รับกำลังซื้ออนาคต
นอกจากมุมมองทางเศรษฐกิจ “คุณแอ๊ว” ยังได้เล่าให้ฟังถึงความคืบหน้าของโครงการ Bangkok Mall ซึ่งจะเป็นเดสติเนชั่นแห่งใหม่ด้วยว่า น่าจะเปิดตัวในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2027 เพราะมองว่าตอนนั้นเศรษฐกิจโลกน่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง
ระหว่างที่รอเปิดก็เตรียมอาวุธไว้ครบครัน และเชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นอีก 1 เดสติเนชั่นใหม่สำหรับคนทั่วโลกแน่นอน
โครงการ Bangkok Mall เราทำมา 6 ปีแล้ว มันเป็นปลาวาฬ เพราะฉะนั้นน้ำตื้นก็ทำไม่ได้ แต่ส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจโลกกำลังจะกลับมาในอีก 3 ปี มันคล้าย ๆ IMF พอลงแล้วมันต้องขึ้น แอ๊วเชื่อแบบนี้ เพราะประเทศไทยมี Opportunity เยอะมาก
“หลายคนอาจจะมองว่าใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ใหญ่เลย แต่ข้างในมีอะไรหลายอย่างมาก มี Attraction เต็มไปหมด มีหลายอาวุธ แต่ยังบอกไม่ได้ แอ๊วรู้ตัวว่าทำอะไร ตอนทำพารากอน คนก็ว่าบ้าเหรอ ตอนนั้นคนก็มองว่าใหญ่ ทำเอ็มโพเรียมบอกใครจะมาเดิน แอ๊วผ่านมันมาหมดแล้ว รู้ว่าทำยังไงถึงจะชนะ แอ๊วมี Winning Formula ของแอ๊ว แต่ตอนนี้แค่ยังบอกไม่ได้”