ปิดฉาก Forever 21 “ฟาสต์แฟชั่น” ตลาดปราบเซียน

Forever 21 ปิดสาขาในไทย

คอลัมน์ จับกระแสตลาด

แม้จะมีข่าวคราวของการเข้ามาเปิดตัวแบรนด์แฟชั่นหน้าใหม่ในบ้านเราอยู่เรื่อย ๆ แต่ตลาดนี้ก็หินไม่ใช่เล่น

ด้วยการแข่งขันที่ขับเคี่ยวกันอย่างสุดฤทธิ์ ทั้งด้านของสินค้าและราคาที่ต้องโดนใจผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็มีต้นทุนจำนวนมากที่ต้องแบกรับ ทั้งค่าเช่าพื้นที่ พนักงาน สต๊อกสินค้า การทำตลาด โปรโมชั่น ฯลฯ ทำให้มีหลายแบรนด์ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปในช่วงที่ผ่านมา

กระทั่งล่าสุด ก็ถึงคิวของแบรนด์ดังแฟชั่นจากอเมริกาอย่าง “ฟอร์เอเวอร์ 21″ ที่ปิดตัวสาขาสุดท้ายในเซ็นทรัลเวิลด์ไปเมื่อกลางเดือนมิถุนายน

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ฟอร์เอเวอร์ 21 เข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อปลายปี 2551 โดยเปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ บนพื้นที่บิ๊กไซซ์กว่า 3 พันตารางเมตร ก่อนจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เน้นโมเดลไซซ์ใหญ่ จนมีทั้งหมด 4 สาขา อาทิ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัล ลาดพร้าว สยามเซ็นเตอร์ และเมกาบางนา

โดยผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในการนำแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาจัดจำหน่ายคือ บริษัท แฟชั่น สตูดิโอ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกในกลุ่มชาราฟ กรุ๊ป เจ้าของธุรกิจโลจิสติกส์ ท่องเที่ยว ชิปปิ้ง ค้าปลีก ฯลฯ สัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีเครือข่ายครอบคลุมกว่า 40 ประเทศ ในตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา และเอเชียโฟกัส – ทิศทางธุรกิจใหม่ต้องการโฟกัสช่องทางค้าปลีกเต็มร้อย “เนสท์เล่ เพียวไลฟ์” โอนธุรกิจน้ำถังให้กลุ่มสปริงเคิลรับช่วงต่อ

ก่อนหน้านี้ “โด วอน ชาง” เจ้าของและผู้ก่อตั้งแบรนด์ Forever 21 เคยระบุถึงแผนการขยาย และความเชื่อมั่นต่อตลาดประเทศไทยว่า ตลาดแฟชั่นในไทยมีความน่าสนใจ ด้วยศักยภาพและอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง ด้วยเทรนด์การแต่งตัวของคนไทยที่แฟชั่นมากขึ้น และการเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางเข้ามา

ตลอดจนภูมิภาคเอเชียโดยรวมมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป จึงมีแผนที่จะขยายสาขาให้ครบ 20 สาขาภายในปี 2559-2560 เพื่อทำให้เป้าหมายสาขาทั่วโลกมีทั้งหมด 1,000 สาขาภายใน 2562

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าฟอร์เอเวอร์ 21 จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ ทั้งจำนวนสาขาและในแง่ของรายได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากรายได้ย้อนหลัง 5 ปี จะพบว่า มีการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท แฟชั่น สตูดิโอ จำกัด มีรายได้ดังนี้

2555 รายได้ 341 ล้านบาท ขาดทุน 11 ล้านบาท

2556 รายได้ 529 ล้านบาท ขาดทุน 9.5 แสนบาท

2557 รายได้ 457 ล้านบาท ขาดทุน 81 ล้านบาท

2558 รายได้ 484 ล้านบาท ขาดทุน 42 ล้านบาท

2559 รายได้ 451 ล้านบาท กำไร 32 ล้านบาท

(งบฯในปี 2560 ยังไม่มีการแจ้ง)

แหล่งข่าวระดับสูงในวงการค้าปลีกรายหนึ่ง ระบุว่า ตลาดแฟชั่นมีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งด้านของจำนวนแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาด และการทำโปรโมชั่น หรือแคมเปญต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นความสนใจ ภาพรวมตลาดมองว่ามีทั้งแบรนด์ที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีแบรนด์ที่ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย อาจประสบกับภาวะขาดทุน และเมื่อไม่สามารถแบกรับการขาดทุนไหวก็ต้องปิดกิจการไป

ส่องรายได้-กำไร Uniqlo, H&M, Zara ในไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่แฟชั่นอินเตอร์แบรนด์รายอื่น อาทิ Uniqlo, H&M และ Zara มีรายได้และกำไร 3 ปีย้อนหลัง ดังนี้

Uniqlo นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) ปัจจุบันมี 40 สาขา

2558 รายได้ 5,396 ล้านบาท กำไร 338 ล้านบาท

2559 รายได้ 6,889 ล้านบาท กำไร 760 ล้านบาท

2560 รายได้ 8,828 ล้านบาท กำไร 1,500 ล้านบาท

H&M นำเข้าและจำจัดหน่ายโดย บริษัท เอช ไทย (ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบันมี 18 สาขา

2558 รายได้ 2,758 ล้านบาท กำไร 235 ล้านบาท

2559 รายได้ 3,544 ล้านบาท กำไร 224 ล้านบาท

2560 รายได้ 4,224 ล้านบาท กำไร 336 ล้านบาท

ZARA นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท กากันท์ (ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบันมี 11 สาขา

2558 รายได้ 3,464 ล้านบาท กำไร 215 ล้านบาท

2559 รายได้ 4,350 ล้านบาท กำไร 246 ล้านบาท

2560 รายได้ 4,771 ล้านบาท กำไร 259 ล้านบาท

Cotton On นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท คอตตอน ออน (ประเทศไทย) ปัจจุบันมี 14 สาขา

2558 รายได้ 175 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท

2559 รายได้ 294 ล้านบาท ขาดทุน 11 ล้านบาท

2560 484 ล้านบาท ขาดทุน 27 ล้านบาท

รายได้ย้อนหลัง Uniqlo, Zara และ เอชแอนด์เอ็ม

สำหรับยูนิโคล่ ซาร่า และเอชแอนด์เอ็ม เป็นแบรนด์ที่มีการลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และแอ็กทีฟในการทำตลาดรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางเข้าถึงสินค้าในออนไลน์ สินค้าใหม่ ความหลากหลายของแคทิกอรี่สินค้า ที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ซาร่า มีการเพิ่มไลน์สินค้าที่ราคาเข้าถึงง่าย เริ่มต้นไม่กี่ร้อยบาท

ส่วนยูนิโคล่ มีการเติมแคทิกอรี่ใหม่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดว่ายน้ำ รองเท้าแตะ รองเท้าหุ้มส้น ฯลฯ และยังมีโมเดลใหม่ ๆ รองรับการขยายสาขาทั้งนอกห้างและในห้าง ขณะที่เอชแอนด์เอ็ม มีการนำกลุยทธ์คอลลาบอเรชั่นกับเซเลบริตี้ หรือแบรนด์ดัง มาสร้างสีสันอยู่ตลอด


จริง ๆ แล้วหากวัดจากจำนวนปีที่เข้ามา เทียบกับจำนวนสาขา ก็น่าจะสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์ดังกล่าวเน้นเจาะตลาดแมสมากขึ้น