กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ร่วมกับ JD.com (NASDAQ : JD) บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และ JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคของประเทศจีน ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค
ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เงินทุนครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มเซ็นทรัล และส่วนที่เหลือจะมาจาก JD.com และ JD Finance รวมถึง Provident Capital (โพรวิเดนท์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของ JD.com ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
ในการเปิดตัวธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคในครั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลจะนำความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจค้าปลีก ที่มีเครือข่ายร้านค้า (physical stores network) ที่สมบูรณ์ที่สุด พร้อมรองรับการให้บริการแบบออมนิแชแนล (Omnichannel) และการชำระเงินที่สะดวกขึ้นด้วยทางเลือกที่หลากหลาย รวมถึงใช้แบรนด์และความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า และความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับวงการค้าปลีกจากฐานลูกค้า The 1 card มาพลิกโฉมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า รวมไปถึงพัฒนาการเติบโตของกลุ่มเซ็นทรัลในด้านออมนิแชแนลผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่นี้
ด้าน JD.com จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ และด้านโลจิสติกส์ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ ส่วนความร่วมมือด้านบริการฟินเทคนั้นจะต่อยอดจากความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีทางการเงินของ JD Finance รวมไปถึงประสบการณ์การพัฒนาบริการฟินเทคที่ง่ายต่อการใช้งานในตลาดใหม่ (Developing Markets), การใช้ AI (Artificial Intelligence), เทคโนโลยีคลาวด์ และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ทันสมัย
ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เผยว่า “JD ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง และศักยภาพของบริษัทในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ในประเทศจีน จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะเลือก JD มาเป็นพันธมิตรด้านอีคอมเมิร์ซกับกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อต่อยอดให้ตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตยิ่งๆขึ้นไป เนื่องจากปัจจุบันจำนวนคนไทยที่ใช้สมาร์ทโฟนมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้การใช้จ่ายสูงขึ้น และตลาดอีคอมเมิร์ซก็มีโอกาสในการเติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้นด้วย ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกในการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์
ทำให้คนไทยหันมาช้อปออนไลน์กันมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของกลุ่มเซ็นทรัลในการขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการค้าปลีกออนไลน์ของประเทศไทยอย่างแท้จริง”
ด้าน ริชาร์ด หลิว ประธานและซีอีโอของ JD.com กล่าวว่า “ประเทศไทยมีประชากรจำนวนมาก ประกอบกับมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาบริการด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้การได้ร่วมงานกับกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทยที่มีห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าทั่วประเทศ ก็ช่วยเสริมศักยภาพและเป็นประโยชน์ต่อการขยายธุรกิจสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย”