“แจ๊กเจีย” จัดทัพสู้โควิด ขนสินค้ารับกระแสสุขภาพบูม

สัมภาษณ์

หากพูดถึง “แจ๊กเจียอุตสาหกรรม” หลาย ๆ คนอาจจะไม่คุ้นเคยนัก แต่ถ้าบอกว่า “ไทเกอร์พล๊าส” คนส่วนใหญ่จะรู้จัก

นี่คือบริษัทเก่าแก่ที่ดำเนินธุรกิจในไทยมายาวนานกว่า 69 ปี ปัจจุบัน “แจ๊กเจียฯ” มีผลิตภัณฑ์สินค้าที่หลากหลาย ทั้งน้ำหอม สบู่หอม ครีมอาบน้ำ แป้งหอม ภายใต้เครื่องหมายการค้าตาบู, เคลีย และตราห้านกยูง ตามด้วยกลุ่มยาและเวชภัณฑ์ ได้แก่ น้ำมันยูคาลิปตัส ภายใต้เครื่องหมายการค้าตราจิงโจ้ รวมถึงปลาสเตอร์และเทปปิดแผลยี่ห้อดัง “ไทเกอร์พล๊าส”

ล่าสุด “แจ๊กเจียฯ” มีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในการรุกตลาด

“พงศ์รัตน์ อรุณวัฒนาพร” กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท แจ๊กเจียอุตสาหกรรม (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเวชภัณฑ์ดูแลแผลแบรนด์ไทเกอร์พล๊าส ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า แม้วิกฤตโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ทำให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่าย และทำให้แนวโน้มอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ดูแลแผลปีนี้จะไม่เติบโต จากสถานการณ์ปกติที่มีแนวโน้มเติบโต 4-5%

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดรวมจะมีปัญหาจากกำลังซื้อที่ลดลง แต่ยังคงมองเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดเวชภัณฑ์และสุขภาพที่ยังมีดีมานด์อยู่ ประกอบกับปัจจุบันเรื่องของสุขภาพยังเป็นกระแสที่กำลังมาแรง บริษัทจึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้น ล่าสุด บริษัทโดยแบรนด์ไทเกอร์พล๊าส ได้ทุ่มงบประมาณ 10 ล้านบาท จับมือกับศูนย์กลางนวัตกรรมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) และบริษัท แนบโซลูท จำกัด ผู้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี shield+ ร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมสเปรย์ฉีดหน้ากากผ้า “ไทเกอร์พล๊าส แมสก์ชีลด์ พลัส” ที่เป็นการต่อยอดจากการผลิตภัณฑ์ปลาสเตอร์ปิดแผล ด้วยจุดขายในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพและเทคโนโลยีการใช้งาน กรองฝุ่น PM 2.5 สำหรับสินค้าใหม่นี้ บริษัทได้เตรียมกำลังผลิต 1 หมื่นชิ้นต่อวัน

โปรเจ็กต์นี้ บริษัทใช้เวลาในการเจรจากับพันธมิตรเพื่อพัฒนาและผลิตสินค้าเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น เพราะปัจจุบันการทำงานทุกอย่างจะช้าไม่ได้ หลังจากนี้จะเร่งกระจายสินค้าให้เร็วที่สุดในทุก ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยาทั้งในห้างและนอกห้าง ฯลฯ รวมถึงช่องทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อเจาะลูกค้าทุกเป้าหมาย”

“พงศ์รัตน์” ระบุด้วยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อ แต่ในทางกลับกันก็เป็นปัจจัยบวก เนื่องจากโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้บริษัทต้องปรับแผนการทำงานให้เร็วขึ้น จากเดิมที่วางแผนการทำงานแบบปีต่อปี ต้องปรับเปลี่ยนมาวางแผนทุกสัปดาห์ และจะต้องปรับการทำงานหลาย ๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการทำงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อรองรับความต้องการของวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ หรือนิวนอร์มอล ที่ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งานได้เท่านั้น

สำหรับทิศทางของแจ๊กเจียฯ จากนี้ไป “พงศ์รัตน์” ให้ข้อมูลว่า จากปัจจุบันที่กระแสสุขภาพยังมาแรงและมีความต้องการสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น บริษัทจะมุ่งพัฒนาสินค้าและนวัตกรรม เน้นไปที่กลุ่มสุขภาพเป็นหลัก มีทั้งในรูปแบบการพัฒนาเองและจับมือกับหน่วยงานต่าง ๆ โดยมีแผนจะลอนช์สินค้าใหม่ออกมาทดลองตลาดในทุก ๆ เดือน ควบคู่กับทำการตลาด สื่อโฆษณาเพื่อสื่อสารแบรนด์ เน้นไปที่ช่องทางออนไลน์ อาทิ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เป็นต้น


นอกจากนี้ “พงศ์รัตน์” ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้นำ “ไทเกอร์พล๊าส” ไปทำตลาดในประเทศซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ในรูปแบบการผลิตและส่งออกผ่านตัวแทนจำหน่าย และตั้งเป้าจะปั้นแบรนด์ไทเกอร์พล๊าสเป็นแบรนด์ระดับภูมิภาคภายใน 5 ปีข้างหน้า