สัมภาษณ์
หากพูดถึง “แจ๊กเจียอุตสาหกรรม” หลาย ๆ คนอาจจะไม่คุ้นเคยนัก แต่ถ้าบอกว่า “ไทเกอร์พล๊าส” คนส่วนใหญ่จะรู้จัก
นี่คือบริษัทเก่าแก่ที่ดำเนินธุรกิจในไทยมายาวนานกว่า 69 ปี ปัจจุบัน “แจ๊กเจียฯ” มีผลิตภัณฑ์สินค้าที่หลากหลาย ทั้งน้ำหอม สบู่หอม ครีมอาบน้ำ แป้งหอม ภายใต้เครื่องหมายการค้าตาบู, เคลีย และตราห้านกยูง ตามด้วยกลุ่มยาและเวชภัณฑ์ ได้แก่ น้ำมันยูคาลิปตัส ภายใต้เครื่องหมายการค้าตราจิงโจ้ รวมถึงปลาสเตอร์และเทปปิดแผลยี่ห้อดัง “ไทเกอร์พล๊าส”
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- หุ้นกู้ออกใหม่ 12 บริษัทแห่ขายเดือน เม.ย.นี้ จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 7.40%
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
ล่าสุด “แจ๊กเจียฯ” มีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในการรุกตลาด
“พงศ์รัตน์ อรุณวัฒนาพร” กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท แจ๊กเจียอุตสาหกรรม (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเวชภัณฑ์ดูแลแผลแบรนด์ไทเกอร์พล๊าส ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า แม้วิกฤตโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ทำให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่าย และทำให้แนวโน้มอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ดูแลแผลปีนี้จะไม่เติบโต จากสถานการณ์ปกติที่มีแนวโน้มเติบโต 4-5%
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดรวมจะมีปัญหาจากกำลังซื้อที่ลดลง แต่ยังคงมองเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดเวชภัณฑ์และสุขภาพที่ยังมีดีมานด์อยู่ ประกอบกับปัจจุบันเรื่องของสุขภาพยังเป็นกระแสที่กำลังมาแรง บริษัทจึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้น ล่าสุด บริษัทโดยแบรนด์ไทเกอร์พล๊าส ได้ทุ่มงบประมาณ 10 ล้านบาท จับมือกับศูนย์กลางนวัตกรรมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) และบริษัท แนบโซลูท จำกัด ผู้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี shield+ ร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมสเปรย์ฉีดหน้ากากผ้า “ไทเกอร์พล๊าส แมสก์ชีลด์ พลัส” ที่เป็นการต่อยอดจากการผลิตภัณฑ์ปลาสเตอร์ปิดแผล ด้วยจุดขายในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพและเทคโนโลยีการใช้งาน กรองฝุ่น PM 2.5 สำหรับสินค้าใหม่นี้ บริษัทได้เตรียมกำลังผลิต 1 หมื่นชิ้นต่อวัน
โปรเจ็กต์นี้ บริษัทใช้เวลาในการเจรจากับพันธมิตรเพื่อพัฒนาและผลิตสินค้าเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น เพราะปัจจุบันการทำงานทุกอย่างจะช้าไม่ได้ หลังจากนี้จะเร่งกระจายสินค้าให้เร็วที่สุดในทุก ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยาทั้งในห้างและนอกห้าง ฯลฯ รวมถึงช่องทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อเจาะลูกค้าทุกเป้าหมาย”
“พงศ์รัตน์” ระบุด้วยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อ แต่ในทางกลับกันก็เป็นปัจจัยบวก เนื่องจากโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้บริษัทต้องปรับแผนการทำงานให้เร็วขึ้น จากเดิมที่วางแผนการทำงานแบบปีต่อปี ต้องปรับเปลี่ยนมาวางแผนทุกสัปดาห์ และจะต้องปรับการทำงานหลาย ๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการทำงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อรองรับความต้องการของวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ หรือนิวนอร์มอล ที่ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งานได้เท่านั้น
สำหรับทิศทางของแจ๊กเจียฯ จากนี้ไป “พงศ์รัตน์” ให้ข้อมูลว่า จากปัจจุบันที่กระแสสุขภาพยังมาแรงและมีความต้องการสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น บริษัทจะมุ่งพัฒนาสินค้าและนวัตกรรม เน้นไปที่กลุ่มสุขภาพเป็นหลัก มีทั้งในรูปแบบการพัฒนาเองและจับมือกับหน่วยงานต่าง ๆ โดยมีแผนจะลอนช์สินค้าใหม่ออกมาทดลองตลาดในทุก ๆ เดือน ควบคู่กับทำการตลาด สื่อโฆษณาเพื่อสื่อสารแบรนด์ เน้นไปที่ช่องทางออนไลน์ อาทิ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เป็นต้น
นอกจากนี้ “พงศ์รัตน์” ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้นำ “ไทเกอร์พล๊าส” ไปทำตลาดในประเทศซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ในรูปแบบการผลิตและส่งออกผ่านตัวแทนจำหน่าย และตั้งเป้าจะปั้นแบรนด์ไทเกอร์พล๊าสเป็นแบรนด์ระดับภูมิภาคภายใน 5 ปีข้างหน้า