“สวอท์ชกรุ๊ป” รับตลาดขาขึ้น ส่ง “มิโด” เจาะลูกค้ากลาง-บน

จับตาสัญญาณบวกตลาดนาฬิกาโลกหลังโควิด-19 คลี่คลาย “สวอท์ช กรุ๊ปฯ” นำร่องส่ง “มิโด” บุก ขนคอลเล็กชั่นใหม่ OceanStar 200C นำทัพนาฬิกาหรูในเครือปูพรมตลาดโลก พร้อมส่ง “คิม ซู ฮยอน” นั่งแท่นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์คนใหม่ เจาะตลาดกลาง-บน มั่นใจสร้างการเติบโตได้ในภาวะที่ตลาดสุดท้าทาย หวังเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดนาฬิกาโลก

นายฟรานซ์ ลินเดอร์ ประธานมิโด บริษัท เดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ดัง อาทิ Mido, Breguet, Omega, Longines, Tissot และ Swatch จากสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในทั่วโลกส่งผลให้ภาพรวมตลาดนาฬิกาโลกปีที่ผ่านมาชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากตัวเลขของสหพันธ์นาฬิกาสวิสจะเห็นว่าการส่งออกนาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ไปที่ต่าง ๆ ทั่วโลกลดลงถึง 22% ในปี 2563

ขณะที่แนวโน้มในปีนี้มองว่า จากภาพรวมสถานการณ์การระบาดที่เริ่มคลี่คลายลงจะส่งผลให้ภาพรวมตลาดนาฬิกาทั่วโลกกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง โดยในส่วนของบริษัทเองยังคงเดินหน้าทำตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ายอดการขายโดยรวมของแบรนด์มิโดจะลดลงในปีที่ผ่านมา แต่ทว่าโดยภาพรวมแล้ว แบรนด์มิโดยังคงเป็นอีกหนึ่งแบรนด์นาฬิกาที่อยู่ในใจชาวไทย และให้ความสนใจในตัวแบรนด์อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ความท้าทายในการทำตลาดนาฬิกาปีนี้มองว่าแยกออกเป็น 2 ด้าน ที่เห็นได้ชัดเลยคือการล็อกดาวน์ในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งช็อปนาฬิกาจำเป็นต้องปิดเป็นเวลาหลายสัปดาห์ และอีกประการคือการที่คนไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ เพราะผู้คนนิยมซื้อนาฬิกาเมื่อเวลาไปเที่ยว ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของบริษัทในการทำตลาดนับจากนี้ไป คือ การทำอย่างไรให้สามารถเข้าถึง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละประเทศและแต่ละท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไปหลังการระบาดของโควิด-19

โดยในส่วนของเมืองไทยปกติแล้วร้านค้าปลีกสำหรับนักท่องเที่ยวและร้านปลอดภาษีเป็นช่องทางการขายที่มีความสำคัญมาก ยิ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้เร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็จะส่งผลดีกับเมืองไทย และแบรนด์ได้เร็วขึ้นเท่านั้น

“แม้เราจะมีแบรนด์นาฬิกาหลากหลายแบรนด์ในเครือ แต่จากปัจจัยลบในปีที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นปีที่ท้าทายมากที่สุดตั้งแต่เข้ามาบริหารงานในอุตสาหกรรมนาฬิกาตลอดช่วง 25 ปีที่ผ่านมา”

สำหรับแผนงานของบริษัทในปีนี้เพื่อรองรับตลาดนาฬิกาที่มีแนวโน้มฟื้นตัวนับจากนี้ โดยเฉพาะในส่วนของแบรนด์มิโด ที่ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มียอดการผลิตนาฬิกาจักรกลในอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสจำนวนมากที่สุดตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยการโฟกัสนำเสนอนาฬิกาคุณภาพชั้นเยี่ยมผ่านทางโมเดลต่าง ๆ ที่มีคอลเล็กชั่นหลากหลาย ควบคู่กับการการันตีความแม่นยำในระดับโครโนมิเตอร์ หรือ COSC และยังมีดีไซน์ที่เข้าได้กับทุกยุคสมัยในราคาที่คุ้มค่า ภายใต้การตอกย้ำดีเอ็นเอของแบรนด์โดยไม่เปลี่ยนแปลง และดำเนินการผลิตนาฬิกาคอลเล็กชั่นหลักที่มีมาหลายทศวรรษ

ที่สำคัญคือยังจะลงทุนในการเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์ เช่น การเปิดตัวเทคโนโลยี Nivachron (ทำให้นาฬิกาบอกเวลาได้แม่นยำมากขึ้นผ่านองค์ประกอบที่ช่วยป้องกันแม่เหล็ก หรือ antimagnetic) และเน้นในการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง

“ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้เข้าร่วมงาน Basel World และตัดสินใจที่นำเสนอนาฬิกาใหม่ประจำปีด้วยตัวเองให้กับตลาดโดยตรง ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับพาร์ตเนอร์และลูกค้าของเราได้มากกว่า ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่แต่ละประเทศมีนโยบายเรื่องมาตรการสุขอนามัยและความปลอดภัยแตกต่างกัน ดังนั้นในการทำการตลาดของ Mido จึงมีความยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เราจะหาโอกาสและเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินแผนงานต่าง ๆ

อย่างไรก็ดี เรายังสามารถจัดอีเวนต์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในหลาย ๆ ประเทศได้สำเร็จในปีที่ผ่านมา แต่ในส่วนของตลาดอื่น ๆ เรายังไม่สามารถทำได้ จึงจำเป็นต้องเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในรูปแบบของการนำเสนอผ่าน interactive video แทน”

ทั้งนี้ จะโฟกัสการทำตลาดที่คอลเล็กชั่น OceanStar 200C เป็นหลัก เน้นเจาะลูกค้าตลาดกลาง-บน ระดับราคา 35,900 บาท โดยได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้ “คิม ซู ฮยอน” ซูเปอร์สตาร์ชาวเกาหลีมาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์คนใหม่ของมิโด ซึ่งคอลเล็กชั่นนี้เป็นนาฬิกาดำน้ำที่มีดีไซน์สวย มีคุณสมบัติสามารถกันน้ำลึกได้ 200 เมตร มีขอบตัวเรือน bezel ทำจากเซรามิกสามารถกันรอยขีดข่วนได้อย่างดีเยี่ยม กระจกหน้าปัดผลิตจากคริสตัลแซปไฟร์ป้องกันแสงสะท้อน ที่มาพร้อมกับกลไก Caliber 80 และสามารถสำรองพลังงานได้ถึง 80 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทยังคงมีการเปิดตัวสินค้าคอลเล็กชั่นใหม่อย่างต่อเนื่อง และค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถทำให้ส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยเติบโตได้มากขึ้นในปีนี้ ขณะที่ลูกค้าชาวไทยมีพฤติกรรมไม่ต่างจากลูกค้าทั่วโลก กล่าวคือประชาชนรับข้อมูลข่าวสารและความเป็นไปอยู่ตลอด คอยเก็บข้อมูลและศึกษาเรื่องนาฬิกาอย่างใกล้ชิด เพราะต้องการมั่นใจว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขายที่ดี ก่อนจะตัดสินใจซื้อสินค้าราคาหลักหมื่นบาทขึ้นไป นั่นเองเป็นช่องทางและโอกาสสำคัญของแบรนด์ในการสื่อสารและเข้าถึงลูกค้าได้

โดยมั่นใจว่าในปี 2564 นี้จะสามารถสร้างการเติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน โดยมีปัจจัยหลักของการเติบโตคือสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยิ่งทุกอย่างกลับไปเป็นปกติเร็วขึ้นเท่าไหร่ การเติบโตของบริษัทก็จะดีเท่านั้น โดยเป้าหมายของบริษัทคือ มุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งของตลาดทั้งในไทยและทั่วโลก