ซี.พี.ปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีก เร่งเครื่องขยายสาขาทั่วภูมิภาค

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.)

เครือ ซี.พี. ปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีก พร้อมเร่งเครื่องขยายธุรกิจในต่างประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งในต่างประเทศทั่วทั้งภูมิภาคพร้อมต่อยอดธุรกิจออนไลน์ ออฟไลน์ “ศุภชัย เจียรวนนท์” มั่นใจธุรกิจค้าปลีกเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยบนเวทีโลก

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ประกาศว่าเครือ ซี.พี.ตั้งเป้าขยายร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งของเครือให้ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วภูมิภาค ซึ่งรวมถึงสาขาของสยามแม็คโคร และศูนย์ค้าปลีกค้าส่งรูปแบบอื่น ๆ ในเครือ ซี.พี.

ปัจจุบัน เครือ ซี.พี.มีธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจค้าส่งอยู่ในประเทศจีน มาเลเซีย อินเดีย กัมพูชา เมียนมา ภายใต้แบรนด์และรูปแบบร้านค้าที่หลากหลาย รวมจำนวนประมาณ 337 ร้านค้า

เพิ่มความคล่องตัวและเพิ่มประสิทธิภาพ

นายศุภชัยกล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยบนเวทีระดับโลก และเป็นธุรกิจที่ประเทศไทยสามารถประสบความสำเร็จบนเวทีโลกได้ นี่คือวิสัยทัศน์ร่วมกันของธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกและค้าส่งในเครือ ซี.พี.

“เพื่อที่จะประสบความสำเร็จบนเวทีโลกที่ซับซ้อน เราต้องตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำบริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเครือ ซี.พี.ขยายธุรกิจและแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจในเวทีระดับโลก หากเมื่อมีการปรับโครงสร้างธุรกิจต่าง ๆ หลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว จะทำให้สยามแม็คโคร กลายเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด”

การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความคล่องตัวในการตัดสินใจต่าง ๆ และยังมีประโยชน์อื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย ก็คือ จะช่วยทำให้แม็คโคร และโลตัส มีความคล่องแคล่ว รวดเร็ว (Agility) ในการเดินหน้าสู่ความสำเร็จบนเวทีระดับนานาชาติ

เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนทั่วไป

ในการประชุมคณะกรรมการบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เมื่อวันอังคารที่ 31 สิงหาคม คณะกรรมการมีมติเห็นชอบที่จะนำเสนอต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ที่จะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคม เพื่อให้อนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียน บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) จากปัจจุบัน 2,400 ล้านบาท เป็น 5,586 ล้านบาท โดยการเปิดขายหุ้นใหม่ จำนวน 6,372,323,500 หุ้น ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 0.5 บาท ซึ่งในจำนวนนั้น จะเป็นการเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไป จำนวน 1,362,000,000 หุ้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเดินหน้าตามแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ และแผนธุรกิจอื่น ๆ

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร กล่าวว่า ต้องการเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจที่มีอนาคตการเติบโตที่น่าตื่นเต้นบนเวทีระดับนานาชาติ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนที่มากขึ้นให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาร่วมเป็นเจ้าของแม็คโคร โดยบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการเป็นเจ้าของบริษัทฯ ให้กับประชาชนทั่วไป ถึง 2 เท่า จากเดิมสัดส่วนที่ประชาชนทั่วไปร่วมเป็นเจ้าของ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) อยู่ที่ 7% จะเพิ่มเป็นมากกว่า 15% ในขณะที่ จำนวนการถือหุ้นของเครือซีพี ในบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) จะลดลงจาก 93% เหลือประมาณ 85%

ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ ครั้งนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการของบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และบริษัทอื่น ๆ ที่ดำเนินการอยู่

นายศุภชัยกล่าวว่า “พนักงานทั้งหมด ผู้บริหาร การจัดการและงานประจำวัน ฟอร์แมตธุรกิจ การวางตำแหน่งทางธุรกิจ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และซัพพลายเออร์ จะยังคงอยู่และดำเนินการเช่นเดิม โดยการปรับโครงการธุรกิจครั้งนี้จะไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องบุคลากร และจะไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมของบริษัท ทั้งนี้การดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ตามแนวทางการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ ยังคงต้องผ่านการเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น รวมถึงการอนุมัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป”

“แพลตฟอร์มแห่งโอกาส”

นายศุภชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดโครงสร้างใหม่ของธุรกิจค้าปลีกเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือซีพีบนเวทีนานาชาติครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ที่เครือ ซี.พี.เพิ่งประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ในระบบเศรษฐกิจโลกยุคหลังวิกฤตโควิดด้วย “การสร้างแพลตฟอร์มให้กับบริษัทอื่น ๆ จากประเทศไทย และผลิตภัณฑ์ของคนไทย เพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจของพวกเขาให้ได้มากที่สุด”

“เราต้องการให้ธุรกิจค้าปลีกของเราทั่วโลกทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มให้กับเกษตรกร ผู้ผลิต และ SMEs ไทยนับหมื่น ๆ ราย ให้สามารถนำผลผลิตและสินค้าไปขายในต่างประเทศ”

นายศุภชัยกล่าวด้วยว่า “การขยายช่องทางค้าปลีกในตลาดโลกให้มากขึ้นสำหรับสินค้าไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลผลิตทางการเกษตร และอาหารสด คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยสานฝันของประเทศไทยในการเป็น ‘ครัวของโลก (Kitchen of the World)’ โดยร้านค้าของเครือ ซี.พี.จะทำหน้าที่เสมือนท่อธุรกิจที่ลำเลียงนำธุรกิจขนาดเล็ก ๆ จากประเทศไทย ให้เข้าสู่ตลาดใหม่ได้ พร้อมกับนำผลผลิตและสินค้าของไทยไปนำเสนอ สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของเขาเอง ตลอดจนเสริมสร้างความแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์ (Resilience) ให้กับธุรกิจของเรา”

หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดสำหรับเกษตรกรและผู้ผลิตของไทยที่ต้องเผชิญในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศคือความยากลำบากในการเข้าสู่ระบบการจัดจำหน่ายของประเทศอื่น ๆ ซึ่งระบบเหล่านั้นอาจจะสนใจเฉพาะแบรนด์ ผู้ผลิต หรือซัพพลายเออร์รายเดิม ๆ นอกจากนั้น การอาศัยพ่อค้าคนกลางจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วย

“เราจะใช้ร้านค้าของเราเองเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศได้สัมผัสกับสินค้าไทยก่อน หลังจากนั้นผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะต้องพิสูจน์ตนเองด้วยคุณภาพ การกำหนดราคา และการตลาด เพื่อสามารถแข่งขันต่อไปได้ เราสามารถช่วยเกษตรกร SMEs และผู้ผลิตจากประเทศไทย ให้เข้าใจกฎระเบียบท้องถิ่นที่ซับซ้อนของแต่ละประเทศมากขึ้น อันจะช่วยกำจัดอุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งให้กับแบรนด์และซัพพลายเออร์จากประเทศไทย” นายศุภชัยกล่าว

ยักษ์ใหญ่ระดับโลก

ประเทศไทยได้รับการยอมรับในวงการค้าปลีกระดับสากล จากการที่ธุรกิจค้าปลีกของไทยสามารถคว้ารางวัลยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม จากสมาคมค้าปลีกที่มีชื่อเสียงระดับโลก และยังเป็นเจ้าของกิจการค้าปลีกระดับแลนด์มาร์dในหลายประเทศ อย่างไรก็ดีอาจจะยังไม่สามารถเทียบกับยักษ์ใหญ่ของวงการค้าปลีกระดับโลกได้

“ขนาดของธุรกิจ (scale) ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของธุรกิจค้าปลีกระดับโลก นั่นคือเหตุผลที่ในโลกปัจจุบัน บริษัทค้าปลีกระดับโลกจะเป็นบริษัทขนาดยักษ์ใหญ่ ยกตัวอย่างผู้ค้าปลีก 2 รายที่ใหญ่ที่สุดของโลก สามารถสร้างยอดขายของแต่ละรายได้มากกว่าขนาดเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศไทย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจค้าปลีกของไทยในการไปแข่งขันในระดับโลก”

“ผมมั่นใจว่า การร่วมมือกับธุรกิจอื่น ๆ ในประเทศไทย การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมายชัดเจน ตลอดจนมีเงินทุนที่เพียงพอ จะส่งผลให้ประเทศไทยมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศที่ค่อนข้างใหญ่ และมีนัยสำคัญได้ในอนาคตอันใกล้นี้” นายศุภชัย กล่าว

นางสุชาดากล่าวด้วยว่า “แม็คโครสนับสนุนลูกค้าผู้ประกอบการต่างๆ มากมายในประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย เช่น ร้านโชห่วย มินิมาร์ต ตลอดจนโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยงอย่างแข็งขัน มาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 32 ปี ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า คุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด เราได้คัดสรรสินค้าที่หลากหลาย ครบครัน มีคุณภาพดี ในราคาขายส่ง เพื่อให้ลูกค้าผู้ประกอบการรายย่อยสามารถลดต้นทุน ประกอบธุรกิจได้อย่างมีกำไร และเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นเป็นพันธมิตรที่คู่ค้าทุกคนวางใจ พร้อมสนับสนุนลูกค้าผู้ประกอบการของเราให้พัฒนาธุรกิจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเร่งขยายธุรกิจต่างประเทศของเราในอนาคต จะสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตสินค้ารายย่อย (เอสเอ็มอี) และเกษตรกร ผู้ผลิตอาหารสด สินค้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดและเติบโตในเวทีโลกต่อไป” นางสุชาดากล่าว