คอลัมน์ : เทสต์คาร์ ผู้เขียน : วุฒิณี ทับทอง
หลังจากเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ 2023 ที่ผ่านมา ไม่รอช้า ทีมงานฮอนด้าจัดทริปทดสอบรถยนต์พรีเมี่ยม เอสยูวี รุ่นยอดนิยม CR-V ทันที แถมยังเลือกเส้นทางที่เรียกว่า ค่อนข้างวัดใจ เพราะขับถึง 2 รุ่น 2 สไตล์ ใน 2 เส้นทาง ใน จ.เชียงใหม่
กับรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ขับ 4 และรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร e:HEV หรือที่เราเรียกกันคุ้นปากว่า “ไฮบริด”
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- ทูลเกล้า 11 รายชื่อคณะรัฐมนตรี เศรษฐา 1/1 ออก 4 เข้าใหม่ 6 ตำแหน่ง
สำหรับเรื่องรูปร่างหน้าตา ต้องบอกว่าแล้วแต่จริต ความชื่นชอบเฉพาะบุคคล
แต่สำหรับเจ้าฮอนด้า CR-V เวอร์ชั่นนี้ ถือว่าฮอนด้าออกแบบและพัฒนามาได้อย่างลงตัว
ดูมีความทันสมัย มีความสปอร์ต ผสานกับความหรูหราสไตล์พรีเมี่ยมเอสยูวี และที่สำคัญ คือ “ดูเด็กลง”
แถมสิ่งที่ต้องชื่นชม คือ ฮอนด้าเองเลือกที่จะส่งเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) มีมาให้ทุกรุ่นย่อย เรียกได้ว่า ลูกค้าจะได้ระบบความปลอดภัย ตรงนี้เป็นมาตรฐาน ไม่ต้องไปควักเงินเพื่อซื้อออปชั่นเพิ่ม
ครบตั้งแต่กล้องมองภาพรอบทิศทาง, เซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลังอย่างละ 4 จุด ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ไฟส่องสว่างด้านข้างขณะเลี้ยว, ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติแบบแฮนด์ฟรี พร้อมด้วยระบบล็อกอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมตอยู่ห่างจากตัวรถ
ตรงนี้ต้องชม เพราะฮอนด้าออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายและมีความเสถียรมาก ๆ เมื่อเทียบกับรถยนต์ยี่ห้อต่าง ๆ
ภายในห้องโดยสารนั้น สำหรับรุ่น 1.5 ลิตร เทอร์โบ ขนาด 7 ที่นั่งนั้น มาในโทนสีดำ ตัดด้วยลายไม้ ที่ช่วยเพิ่มความหรูหรา อบอุ่น ให้กับเอสยูวีของครอบครัว
และสีดำตัดกับวัสดุสีโครเมียมปัดเงา เพิ่มความสปอร์ตหรูหราให้กับรถเอสยูวีของคุณ แถมฮอนด้ายังยกเอา แผงช่องแอร์แบบรังผึ้งเข้ามาใส่ ช่วยเพิ่มความดุดันและมีเอกลักษณ์ได้อย่างลงตัว พร้อมระบบฟอกอากาศในห้องโดยสารมีมาให้
มี head-up-display แสดงข้อมูลบนหน้ากระจกมาให้ ส่วนระบบเสียงใช้ลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง
CR-V เวอร์ชั่นนี้ ฮอนด้ายังติดตั้งหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ และปลายท่อคู่สเตนเลส ยกเว้นรุ่น E
ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สำหรับรุ่น 1.5 เทอร์โบ ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร e:HEV นั้น เป็นล้อขนาด 19 นิ้ว
ส่วนระบบนำทาง มีให้ในรุ่น e:HEV RS 4WD
การขับขี่นั้น รถทั้ง 2 รุ่น มีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ด้วยรุ่นที่เราทดสอบ คือ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ขนาด 7 ที่นั่ง มาพร้อมขุมกำลัง 190 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับเกียร์ CVT อัตโนมัติ
ส่วนเรื่องความคล่องตัว ขับออกจากเมืองเชียงใหม่ มุ่งขึ้นเส้นทางน้ำพุร้อนแม่ขะจาน ในช่วงตีนต้นนั้น กว่าเครื่องยนต์จะทำงาน ก็มีจังหวะต้องรอรอบ ให้จับได้ ยิ่งจังหวะต้องขับขึ้นเขา มีทางคดโค้งเป็นระยะ แต่เจ้า CR-V 1.5 ลิตรเทอร์โบคันนี้ ยังไม่จี๊ดเท่าไร
แม้จะใช้การคิกดาวน์ หรือเปลี่ยนไปเป็นเกียร์ S การตอบสนองของเครื่องยนต์ไม่ ทันใจ แถมยังต้องออกแรงคุมพวงมาลัย บังคับรถให้พอลุ้น
ด้วยบุคลิกของรถคันนี้ อาจจะถูกเซตมาให้เป็นรถครอบครัว และน่าจะใช้งานในเมืองเป็นหลัก วิ่งด้วยความเร็ว ขึ้น-ลงเขานาน ๆ ที ทำได้ แต่ขับไม่สนุก เหมาะกับการใช้งานในเมืองมากกว่า
โดยเฉพาะช่วงล่าง ถ้าเทียบเจนก่อนถือว่าเจนนี้มีการพัฒนาที่ดีขึ้น แต่ยังสัมผัสกับแรงเหวี่ยง แรงโยนเวลาเข้าโค้ง หรือการเปลี่ยนเลนกะทันหันได้เยอะ โดยเฉพาะในตำแหน่งของผู้โดยสาร แต่อย่างที่บอกว่า ทีมงานเซตรถคันนี้มาให้เป็น SUV ของครอบครัว น่าจะเหมาะกับผู้ขับและผู้โดยสารสายชิล
ส่วนอีกรุ่น คือ e:HEV RS ขับ 4 หรือเครื่องยนต์ไฮบริด ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ทำงานคู่กับเกียร์ E-CVT และมอเตอร์ที่ให้แรงบิดสูงสุดถึง 335 นิวตัน-เมตรที่ 0-2,000 รอบต่อนาที
ซึ่งระบบ e:HEV ในเจ้า CR-V เวอร์ชั่นนี้ สามารถปรับเปลี่ยนโหมดขับขี่การทำงานได้อย่างฉลาด ได้แก่ EV, HEV และ Engine
ฮอนด้ายังมีโหมดการขับขี่มาให้ ทั้งโหมดสปอร์ต, ปกติ และประหยัดมาให้เลือกใช้งานตามความพอใจ
ต้องบอกว่า CR-V e:HEV เวอร์ชั่นนี้ถือว่าเป็นรถ CR-V ที่ขับสนุกและเฟิร์มที่สุดในทุกเจน ที่ “ผู้ขับ” มีโอกาสได้ขับขี่
ทั้งช่วงล่างที่เรียกว่าเฟิร์มขึ้น จังหวะขึ้น-ลงเขาทำได้อย่างมั่นใจและขับสนุก ส่วนอัตราเร่งเอง กลายเป็นว่า เครื่องยนต์ไฮบริดทำได้ดีกว่ารุ่น 1.5 ลิตรเทอร์โบอย่างเห็นได้ชัด
ขับสนุก อัตราเร่งดี ตัวรถมีความกระชับ ทั้งจังหวะในเมืองและนอกเมือง
ต้องบอกว่า…คนละเรื่อง คนละอารมณ์
ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า ทีมงานฮอนด้าแจ้งว่า เจ้า CR-V ทั้ง 5 รุ่นย่อยนั้น ถูกเซตช่วงล่างมาแตกต่างกันทุกรุ่น
ใครอยากได้ความสด ความกระชับ ขับสนุก ให้มาทางนี้ CR-V e:HEV RS ขับ 4 น่าจะเป็นคำตอบ
แต่ถ้าสายชิล ขับเพลิน ให้ลองไปรุ่น 1.5 เทอร์โบ เผื่อจะถูกกับจริต
ส่วนราคาค่าตัว CR-V รุ่น 1.5 เทอร์โบ ขับ 4 ขนาด 7 ที่นั่ง อยู่ที่ 1.649 ล้านบาท
CR-V e:HEV RS ขับ 4 เพิ่มเงินขึ้นมาอีก 8 หมื่น หรือต้องจ่าย 1.729 ล้านบาท