“อีซูซุ” ลั่นปิกอัพอีวี ต้องมีฐานการผลิตในไทยแน่นอน

ทาคาชิ ฮาตะ
คอลัมน์ : สัมภาษณ์

ถือเป็นผู้เล่นในตลาดรถยนต์ปิกอัพ และรถพีพีวี ที่โลดแล่นอยุ่ในตลาดบ้านเรามาอย่างยาวนาน สำหรับค่ายตรีเพชรอีซูซุ ทั้งยังถือเป็นค่ายรถที่สะท้อนภาพของตลาดรถปิกอัพได้ดี

วันก่อน ทีมผู้บริหาร อีซูซุ นำโดย “ทาคาชิ ฮาตะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ให้สัมภาษณ์สะท้อนภาพของตลาดรถปิกอัพ รวมทั้งตลาดรถยนต์โดยรวมจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกัน

Q : มองตลาดชะลอตัวอย่างไร

จะเห็นว่าในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว เห็นได้จากตัวเลขยอดขายรถยนต์โดยรวม อยู่ที่ระดับ 526,489 คัน ลดลง 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ในจำนวนนี้แบ่งเป็น รถปิกอัพ มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 189,555 คัน หดตัวลง 26.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และภาพรวมของตลาดปิกอัพหดตัวลงมากกว่าการหดตัวของตลาดรถยนต์โดยรวม ทั้งนี้เป็นผลเนื่องจากตลาดรถปิกอัพเป็นรถที่ใช้ในการทำธุรกิจมากกว่าใช้ส่วนตัว ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดรถปิกอัพ 8 เดือนแรก มีสัดส่วน 36% ของตลาดรวม ถือเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา

Q : ปัจจัยที่ส่งผลต่อยอดปิกอัพ

Advertisment

ปัจจัยหลัก ๆ ที่ส่งผลทำให้รถปิกอัพมีการหดตัวลงไปค่อนข้างมากนั้น เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เนื่องจากรถปิกอัพส่วนใหญ่เป็นรถที่ใช้ในการทำธุรกิจ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น ทำให้รายได้ลดลง, ความเข้มงวดของการปล่อยไฟแนนซ์ เนื่องจากผู้ใช้รถปิกอัพส่วนใหญ่จะซื้อเงินผ่อนและการปล่อยสินเชื่อมีความเข้มงวด

ทำให้รถที่ผ่านการอนุมัติจากไฟแนนซ์มีจำนวนลดลง แม้ว่าความต้องการของลูกค้ายังคงมีอยู่ แต่ถ้าไม่ผ่านไฟแนนซ์ก็ออกรถไม่ได้ และภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งความขัดแย้งทางด้านสงครามในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะรัสเซียกับยูเครน

Advertisment

สำหรับอีซูซุ แม้ว่าจะมีอีซูซุลิสซิ่งที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจการจำหน่ายรถอีซูซุในประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าต้องมีต้นทุนในการดำเนินธุรกิจไฟแนนซ์เหมือนกับบริษัทไฟแนนซ์อื่น กรณีที่ลูกค้ามีปัญหา cash flow บริษัทไฟแนนซ์อื่น ๆ จำเป็นจะต้องเข้มงวดกับลูกค้าเหมือนกัน

Q : ประเมินตลาดทั้งปี

อีซูซุคาดว่า ตลาดรถยนต์โดยรวมปีนี้น่าจะไปถึง 820,000 คัน ส่วนแบ่งปิกอัพในตลาดรวมใกล้เคียงกับที่ผ่านมา ประมาณ 36-40% ของตลาด หรือประมาณไม่เกิน 300,000 คัน ซึ่งในส่วนแบ่งการตลาด 36% ของทุกแบรนด์

อีซูซุคาดว่าจากยอดขายปิกอัพอีซูซุปี 2565 ทำได้ 175,425 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 45.2% แต่ปี 2566 นี้ตลาดปิกอัพมันหดตัวลงมามาก เราต้องพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ และจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลไทยใช้อยู่ก็นับว่าได้ผลดีพอสมควร เป็นต้นว่า มาตรการการรักษาราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับคงที่ และมาตรการเกี่ยวกับการลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน มันจะส่งผลทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจต่ำลงอยู่แล้วก็น่าจะทำให้ตลาดดีขึ้น

Q : ความคืบหน้าเรื่องรถปิกอัพอีวี

จากข่าวที่เคยออกมาจากต่างประเทศว่า อีซูซุจะพัฒนารถปิกอัพไฟฟ้าและออกจำหน่ายในปี 2025 นั้นเป็นเรื่องจริง และปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาและจะนำออกสู่ตลาดยุโรปก่อน เนื่องจากยุโรปมีความเข้มงวดในเรื่องกฎเกณฑ์และระเบียบต่าง ๆ มากขึ้น และจะตามมาด้วยประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ยังต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างมาประกอบด้วยกัน เป็นต้นว่า ความต้องการของลูกค้าในประเทศต่าง ๆ ว่าต้องการรถปิกอัพไฟฟ้าใช่หรือไม่ และสาธารณูปโภคต่าง ๆ เกี่ยวกับรถไฟฟ้านั้นพร้อมไหม หลังจากพิจารณาทั้งหมดแล้ว จึงจะนำออกจำหน่ายเป็นลำดับไป

แต่สำหรับแผนการจำหน่ายรถปิกอัพไฟฟ้าของอีซูซุในประเทศไทยยังไม่ได้กำหนดปีที่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าคนไทยเป็นหลัก ถ้าลูกค้าต้องการและปัจจัยต่าง ๆ สมบูรณ์ อีซูซุพร้อมที่จะนำรถปิกอัพไฟฟ้าออกมาในเวลาที่เหมาะสม รถปิกอัพไฟฟ้าของอีซูซุจะมีฐานการผลิตจะอยู่ในประเทศไทยแน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีเครื่องยนต์ไฮบริดด้วยไหม อีซูซุยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่มีการศึกษาเรื่องนี้ และจะต้องศึกษาเรื่องการกำจัดแบตเตอรี่ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนารถปิกอัพไฟฟ้าด้วย

Q : อยากฝากรัฐบาลเรื่องอะไร

อีซูซุยินดีกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน หรือ ICE และขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าด้วย สำหรับความเป็นกลางทางคาร์บอนนั้นเป็นเป้าหมายหลัก และมีความสำคัญกับทั้งประเทศไทยและต่อโลกด้วย เพราะไม่ว่ารถยนต์สันดาปภายใน ICE รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ล้วนสามารถส่งเสริมนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนได้เหมือนกัน

แต่ประเด็นสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องพิจารณาและให้ความสำคัญ คือ การรักษาห่วงโซ่อุปทานหรือซัพพลายเชนให้อยู่ในประเทศไทย เพราะมีบทบาทสำคัญในการจ้างงานในประเทศไทย การส่งออก และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย