
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.ประเมินยอดยอดผลิตรถยนต์ 1,500,000 คัน เพิ่มขึ้น 2.11% จับตาปัญหาผลกระอเมริกา-จีน อาจไม่รุนแรง ส่งผลค่ายจีนยืดเวลาการย้านฐานผลิต ส่วนรถจักรยานยนต์ 2,100,000 คัน โต 11.28%
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยยอดคาดการการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของสมาชิกกลุ่มในปี พ.ศ. 2568 ว่าจะมีการผลิตรถยนต์ทั้งสิ้น 1.5 ล้านคัน จาก 1,468,997 คัน ในปี 2567 ที่ผ่านมา
โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อรองรับความต้องการในประเทศ 500,000 คัน เพิ่มขึ้น 8.73% หรือคิดเป็น 33.34% ของยอดผลิตทั้งหมด และการผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 1,000,000 คัน ลดลง 0.91% หรือคิดเป็น 66.66 ของยอดการผลิตทั้งหมด

ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์นั้น คาดว่าปีนี้จะมีการผลิตที่ 2.1 ล้านคัน มากกว่าปีที่ผ่านที่ผลิตได้ 1,487,605 คัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 400,000 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 1,700,000 คัน
สำหรับยอดการผลิตรถยนต์โดยเฉพาะตลาดส่งออกนั้น คาดว่าจะมีตัวเลขลดลงเล็กน้อยเป็นผลมาจากความกังวลเรื่องขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยอาจลดลงและราคาน้ำมันอาจลดลง ทำให้อำนาจซื้อของประเทศคู่ค้าสูงขึ้น ส่งผลให้การส่งออกดีขึ้น รวมถึงปัญหาสงครามในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
รวมถึงความชัดเจนในมาตรการด้านการค้าและอื่น ๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่าจะขึ้นภาษีากรนำเข้าอีกมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งไทยมีคู่แข่งในประเทศคู่ค้ามีมากขึ้น, ประเทศคู่ค้ามีการผลิตรถกระบะ ซึ่งอาจลดคำสั่งซื้อและอาจส่งออกแทนประเทศไทยจากการผลิตรถกระบะลดลง, มาตรการเข้มงวดการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ของประเทศคู่ค้าที่ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไม่ได้
ส่วนการผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศนั้น ยังมีปัจจัยบวกจากที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าต้องผลิตชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าโครงการ EV 3.0 ในอัตรา 1.5 เท่า อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว 2.4-2.9%, ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยงยังขยายตัว รวมไปถึงตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรรวมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมบางกลุ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น, มาตรการการแจกเงินของรัฐบาลให้กลุ่มต่าง ๆ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากภาครัฐน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยอดผลิตมีการเติบโตขึ้น
แต่ทั้งนี้ก็ยังคงต้องติดตามความเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน, ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะยังคงลดลงหรือไม่ เพราะมีสัดส่วนถึง 30% ของเศรษฐกิจในประเทศ, มีแรงงานถึง 16% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศ, ภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนอาจจะไม่รุนแรง ส่งผลให้การย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนมายังประเทศไทยชะลอตัวลงได้ เพราะประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบการจ้างงานในประเทศไทย
รวมถึงหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูงอาจจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล, ค่าครองชีพยังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลต่ออำนาจซื้อของประชาชน