จับตามาตรการ ‘ทรัมป์’ สะเทือนอุตฯยานยนต์-ชิ้นส่วนไทย

โรงงานแบต MG

สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก หลังจากประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศภาษีนำเข้าสหรัฐ เรียกว่าโดนกันถ้วนทั่ว ทุกหัวระแหง

สำหรับประเทศไทย แน่นอนว่า “ภาษี” ถูกปรับเป็น 36% แม้ว่าล่าสุด “ทรัมป์” จะประกาศยืดขยายระยะเวลาการจัดเก็บภาษีจำนวนนี้ ออกไปอีก 90 วัน โดยให้ใช้อัตราฐานที่ 10% ไปก่อนนี้ หลังจาก “ทรัมป์” ต้องเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากผู้นำภาคธุรกิจและนักลงทุน แต่เพิ่มภาษีสินค้าจีนเป็น 125%

แม้ว่าจะยังพอมีระยะเวลาให้หายใจหายคอสำหรับประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทย แต่ท้ายสุดยังประมาทไม่ได้ จากกรอบเวลาที่มีอยู่ 3 เดือนนี้ ประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลานี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูง เพื่อเตรียมตั้งรับกับสิ่งที่ (อาจ) จะเกิดขึ้นในอนาคต

ข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีการคาดการณ์ตัวเลขมูลค่าจากประกาศภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 800,000-900,000 ล้านบาท กลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบหลัก ได้แก่ ยานยนต์ อาหาร พลาสติก และเคมีภัณฑ์

เมื่อโฟกัสให้แคบลงมาที่กลุ่มยานยนต์ ที่มูลค่านั้นถือเป็นสินค้าที่ส่งออกไปยังอเมริกามีอยู่ประมาณ 200,000 ล้านบาท

โดยใน 15 อันดับรายการสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐมากที่สุดนั้น อันดับ 3 ได้แก่ ยางรถยนต์ และอันดับ 7 ชิ้นส่วนรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชิ้นส่วนที่เกี่ยวเนื่องอย่าง เซมิคอนดักเตอร์, แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ADVERTISMENT

นายสุพจน์ สุขพิศาล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และในฐานะรองเลขาธิการสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กลุ่มรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจากผลกระทบครั้งนี้ว่า กลุ่มชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์และอะไหล่ประกอบ จะได้รับผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีครั้งนี้มากน้อยเพียงใด

ส่งออกรถยนต์ CBU ไปแค่ 1%

โดยเบื้องต้นได้มีการแบ่งกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบครั้งนี้ ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่

1.กลุ่มรถยนต์ โดยปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปจำหน่ายยังอเมริกา ประมาณ 10,000 คัน คิดเป็นมูลค่าราว 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 9,900 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าในส่วนของการผลิตรถยนต์โดยรวมของไทยปัจจุบันมี 1.5 ล้านคัน เมื่อเทียบกับสัดส่วนการส่งออกไปยังอเมริกา คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ตรงนี้หากลงรายละเอียดจะเห็นว่า รถยนต์ที่ประเทศไทยผลิตส่วนใหญ่ กับรถยนต์ที่มีการใช้งานในอเมริกานั้น เป็นโมเดลที่แตกต่างกัน

ยางรถยนต์ (จีน) โดนอ่วม

2.กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เบื้องต้นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบหนักสุด คือกลุ่มยางรถยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มยางรถยนต์สัญชาติจีนที่เข้ามาตั้งโรงงานและใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งหากลงรายละเอียดจะเห็นว่า มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ที่โดนไปก่อนหน้านี้

เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการจีน เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิต และเลือกใช้รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน คือใช้ไทยเป็นฐานผลิต ส่วนจีนได้นำเข้ามีระบบออโตเมชั่น วัตถุดิบ จะมีเพียงแค่บางส่วนของวัตถุดิบหลักที่ใช้จากประเทศไทย คือ “น้ำยาง”

และในช่วงที่ผ่านมา สัดส่วนการส่งออกยางรถยนต์จากไทยไปอเมริกานั้นยังไม่สูงมาก แต่เมื่อมีโรงงานผลิตยางรถยนต์จากจีนเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ยางรถยนต์จีน 3-4 ราย ส่งผลให้ประเทศไทยมีการส่งออกยางรถยนต์สูงขึ้นมาก มีสัดส่วนคิดเป็น 67% ของมูลค่าการส่งออกไปอเมริกาส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์

ลอตแรกเครื่องยนต์ขนาดเล็ก

3.กลุ่มชิ้นส่วนที่นำไปประกอบรถยนต์ หรือใช้ในสายการผลิต (OEM) เพื่อป้อนให้กับโรงงานผลิตรถยนต์ในอเมริกา โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบใน “เครื่องยนต์” รวมถึงกลุ่มผู้ส่งออก “เครื่องยนต์ขนาดเล็ก” หรือ “เครื่องยนต์อเนกประสงค์สำเร็จรูป” ไปจำหน่าย เช่น พวกปั๊มน้ำ เครื่องตัดหญ้า เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องสูบน้ำ เครื่องพ่นยาสะพายหลัง รถตัดหญ้า รถไถพรวนดิน และเครื่องยนต์ติดท้ายเรือ ฯลฯ ซึ่งมีโรงงานผลิตหลักของผู้ผลิตและจำหน่ายใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ซึ่งตรงนี้ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

แม้ว่ากลุ่มสินค้าข้างต้นจะได้รับผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีลอตแรกไปแล้ว ในส่วนของเซ็กชั่น 232 ที่ว่าด้วยเรื่องสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม โดยมีการขึ้นกำแพงภาษีไปแล้ว 25% และออนท็อปอีก 10%

จากเดิม “เหล็ก” โดน 25% บวกเพิ่มออนท็อป 10% รวมเป็น 27.5% ซึ่งจากประกาศเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมามีการยกเว้นตรงนี้ และยังต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง

ส่งออก 2 เดือนแรกยังโต

ผู้สื่อข่าวรายงานมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์จากไทยไปอเมริกาจากกระทรวงพาณิชย์ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ ม.ค.-ก.พ. 2568 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 995.38 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 34,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 917.90 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 31,100 ล้านบาท

โดยมีรายละเอียดดังนี้ แบตเตอรี่ไฟฟ้าและส่วนประกอบของแบตเตอรี่ จาก 12.81 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 10.67 ล้านเหรียญสหรัฐ, ชุดสายไฟจุดระเบิดที่ใช้ในยานยนต์ จาก 6.93 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 7.71 ล้านเหรียญสหรัฐ, ส่วนประกอบและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ จาก 203.89 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 211.55 ล้านเหรียญสหรัฐ, ชิ้นส่วน CKD สำหรับรถยนต์ จาก 41.59 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 53.24 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนประกอบและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับรถจักรยานยนต์ จาก 10.66 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 6.97 ล้านเหรียญสหรัฐ, เครื่องยนต์ลูกสูบสันดาปภายในแบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟ จาก 34.83 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 45.58 ล้านเหรียญสหรัฐ, อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟ จาก 22.11 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 25.19 ล้านเหรียญสหรัฐ

กระจกนิรภัยและกระจกมองข้าง 1.58 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 1.68 ล้านเหรียญสหรัฐ, เพลาส่งกำลังและข้อเหวี่ยง จาก 15.89 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 20.22 ล้านเหรียญสหรัฐ, ส่วนยางลมและยางใน (ยางรถยนต์และจักรยานยนต์) คิดเป็น 67% ของการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไทยไปอเมริกาทั้งหมด จาก 567.61 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 612.57 ล้านเหรียญสหรัฐ

ห่วงชิ้นส่วนกลุ่มพลาสติกอื่น ๆ

สำหรับข้อสังเกตหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ เพราะสิ่งสำคัญในส่วนของการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์นั้น ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในส่วนของเหล็กเท่านั้น แต่ต้องไม่ลืมว่าชิ้นส่วนยานยนต์ ยังมีส่วนของ “อะลูมิเนียม-พลาสติก” เข้าใช้เป็นวัสดุหลัก ซึ่งตรงนี้ประเทศไทยยังต้องติดตามรายละเอียดและละทิ้งไม่ได้ สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน

และแม้ว่าในส่วนของกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการทดเเทน หรือ (REM) แม้อเมริกาจะใช้ชิ้นส่วนต่างจากไทย เนื่องจากรถคนละโมเดลกัน แต่ก็มีผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยส่งชิ้นส่วนทดแทนไปจำหน่ายอยู่พอสมควร ตรงนี้ก็จะละเลยไปไม่ได้เช่นเดียวกัน

เม็กซิโกโดน กระทบปิกอัพไทย

อีกหนึ่งข้อสังเกต นอกจากกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ข้างต้นที่จะต้องจับตามองแล้ว สิ่งที่ประเทศไทยยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือในส่วนของชิ้นส่วนยานยนต์ที่ส่งไปเพื่อประกอบรถยนต์ KD จากไทยไปประเทศเม็กซิโก มีจำนวนมากโดยเฉพาะในกลุ่ม “รถปิกอัพ” ว่าท่าทีของอเมริกาต่อเม็กซิโก จากนี้จะเป็นอย่างไร

เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ถือเป็นซัพพลายเชนที่สำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก โดยเฉพาะในส่วนของการผลิตรถปิกอัพขนาด 1 ตัน ที่ใช้งานกันอยู่ในโลกนี้ หลัก ๆ กว่า 95-98% ของชิ้นส่วนเหล่านี้ผลิตจากประเทศไทย หากมีผลกระทบตรงจุดนี้น่าจะบานปลายมากกว่าที่หลายต่อหลายคนคิด