ฮอนด้า-ยามาฮ่า เผยผลวิจัยสาเหตุอุบัติเหตุ 49% ผู้ขับขี่ประเมินผิดพลาด

สองค่ายรถจักรยานยนต์ “ฮอนด้า-ยามาฮ่า” จับมือ ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย เผยผลผลการวิจัย “โครงการวิจัยเพื่อเมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” พบสาเหตุหลักเกิดจากความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ก่อนการเกิดอุบัติเหตุ การเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากการชนตัดหน้า และกลุ่มวัยรุ่นประสบอุบัติเหตุมากที่สุด หวังผนึกกำลังสานต่อเพื่อร่วมลดอุบัติเหตุอย่างยั่งยืน

รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ผลงานวิจัยภายใต้โครงการ “โครงการวิจัยเพื่อเมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” ดำเนินการโดยศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย จากการริเริ่มและสนับสนุนโดย บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด, บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด, บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด และ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด

วัตถุประสงค์เพื่อค้นหาปัจจัยสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดกับรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างตรงจุดและเหมาะสม โดยทำการวิจัยจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจริงจำนวน 1,000 กรณีศึกษา ระหว่าง พ.ศ. 2559-2563

พบว่าปัจจัยสำคัญในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนสี่ด้านหลัก ได้แก่ด้านผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และรถยนต์ ด้านทักษะและประสบการณ์ในการขับขี่ ด้านรูปแบบการเกิดอุบัติเหตุ และด้านสภาพถนนและสิ่งแวดล้อม ด้วยสถานการณ์อุบัติเหตุที่เกิดกับรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยมีอัตราที่สูง

การวิจัยครั้งนี้จึงมุ่งเน้นสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดกับรถจักรยานยนต์จำนวน 1,000 กรณีศึกษา โดย 30% ของจำนวนนี้เป็นอุบัติเหตุที่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

1. ด้านผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และรถยนต์

จากอุบัติเหตุทั้งหมด พบว่า 53% มีสาเหตุเกิดจากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ รองลงมา 41% เกิดจากผู้ขับขี่รถยนต์ ตามด้วยสาเหตุจากสภาพถนนและสิ่งแวดล้อมจำนวน 4% และสาเหตุอื่นๆ จำนวน 2%

กลุ่มอุบัติเหตุที่มีสาเหตุจากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 49% เกิดจากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด (Perception Failure) รองลงมา 32% เกิดจากผู้ขับขี่ตัดสินใจผิดพลาดขณะเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉิน (Decision Failure) และ 13% เกิดจากผู้ขับขี่ควบคุมรถผิดพลาด (Reaction Failure)

ในกลุ่มอุบัติเหตุที่มีสาเหตุจากผู้ขับขี่รถยนต์ 60% เกิดจากผู้ขับขี่รถยนต์ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด (Perception Failure) และ 34% เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉิน (Decision Failure)

2. ด้านทักษะและประสบการณ์

พบว่า 48% เป็นการชนที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ได้หลบหรือเพื่อหลีกเลี่ยงการชนแต่อย่างใด (Collision Avoidance) ซึ่งผู้ขับขี่ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพปกติไม่ได้ง่วงหรือเมาสุรา และขับขี่ด้วยความเร็วปกติ ระหว่าง 20-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

การวิจัยยังพบว่า 41% ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ และในอุบัติเหตุที่เกิดกับผู้มีใบอนุญาตขับขี่ กว่าครี่งหนึ่งเป็นการชนที่ไม่ได้หลบหลีกหรือเบรกแต่อย่างใด

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-24 ปี โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความผิดพลาดในการควบคุมรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะความผิดพลาดด้านการใช้เบรกเพื่อชะลอความเร็วหรือเพื่อหยุดรถ

3. ด้านรูปแบบการเกิดอุบัติเหตุ

รูปแบบการเกิดอุบัติเหตุในรถจักรยานยนต์ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ได้แก่ การชนตัดหน้า โดย 80% เป็นการชนกับรถยนต์ที่เลี้ยวตัดหน้า 66% เป็นการชนกับท้ายรถยนต์คันอื่น โดยอุบัติเหตุชนท้ายที่มีผู้เสียชีวิตมักเกิดในเวลากลางคืน และมีสัดส่วนของอุบัติเหตุที่ชนท้ายรถบรรทุกมากกว่าในเวลากลางวันในผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ใช้ความเร็วสูงกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อประสบอุบัติเหตุจะมีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยถ้าเกิดเหตุในเวลากลางคืนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจะมีความรุนแรงมากกว่า

นอกจากนี้ มากกว่า 40% ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ เกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ โดยในจำนวนนี้ ผู้เสียชีวิต 62% ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่ และในการเสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่ศีรษะพบว่า 66% เป็นผู้ขับขี่ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย

4. ด้านสภาพถนนและสิ่งแวดล้อม

สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ โดยพบว่าอุบัติเหตุที่มีความรุนแรงสูงมักเกิดในเขตชานเมืองและชนบท และส่วนใหญ่เป็นถนนสายรอง โดย 24% เกิดบนทางร่วมทางแยกส่วนอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่เกิดบนถนนขนาด 4 ช่องจราจร มักเกิดขึ้นบนไหล่ทางซึ่งเป็นจุดที่ไม่ปลอดภัยหากใช้ในการสัญจร

ข้อเสนอแนะจากการวิจัย

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทยได้เสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุอย่างยั่งยืนโดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

1. ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ยังขาดทักษะด้านการคาดการณ์อุบัติเหตุ อีกทั้งไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที และทำการควบคุมรถเพื่อหลบหลีกการชนได้ทันการณ์ จึงจำเป็นต้องทบทวนหลักสูตรการอบรมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้มุ่งเน้นเพิ่มทักษะการคาดการณ์อุบัติเหตุ การตัดสินใจและการควบคุมรถเมื่ออยู่ในสถานการณ์เสี่ยง

2. ควรทบทวนขั้นตอนในการออกใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยแยกการอบรมและข้อสอบระหว่างผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และผู้ขับรถยนต์ออกจากกัน และควรผ่านการอบรมขับขี่ที่ปลอดภัยในภาคทฤษฎี ซึ่งมีเนื้อหาเน้นการอบรมทักษะด้านการคาดการณ์อุบัติเหตุ รวมถึงออกแบบขั้นตอนการสอบภาคปฏิบัติให้เสมือนกับการขับขี่บนท้องถนนจริงร่วมกับรถประเภทอื่น ๆ

3. ควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ทำผิดกฎจราจร เช่น การดัดแปลงรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่เกี่ยวข้องกับด้านความปลอดภัย การไม่สวมหมวกนิรภัย โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในการป้องปรามและตรวจจับให้มากขึ้น นอกจากนี้ควรควบคุมการจำกัดความเร็วของยานยนต์ทุกประเภทอย่างเข้มงวด เพื่อความปลอดภัยของยานพาหนะทุกคันบนท้องถนน

4. ควรผลักดันนโยบายการออกแบบถนนให้คำนึงถึงความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์ โดยมุ่งเน้นการลดจุดตัดของกระแสจราจรระหว่างรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (เช่น จุดกลับรถ ทางแยกและทางเข้าออกต่าง ๆ) การลดความเร็วของกระแสจราจรในเขตชุมชน และการปรับปรุงระยะการมองเห็นตามทางแยก

5. ควรส่งเสริมและรณรงค์ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์หมั่นตรวจสอบดูแลรักษาอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย เช่นหลอดไฟหน้า ไฟท้าย ระบบเบรก และสภาพยาง

6. ควรพิจารณาจัดตั้งศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุแห่งชาติ เพื่อให้ได้ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุที่เพียงพอและในเชิงลึก ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุได้อย่างตรงจุดต่อไป

ด้านนายมาซายูคิ อิงาราชิ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัทเอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด บริษัทให้ความสำคัญกับความปลอดภัยบนท้องถนนด้วยพันธกิจที่จะมุ่งสร้างสังคมที่ไร้อุบัติเหตุให้กับทุกคน และตระหนักว่าการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในสังคมในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน จะนำมาซึ่งความสำเร็จนี้ร่วมกัน ทั้งนี้หวังว่าข้อมูลจากการวิจัยเชิงลึกนี้จะเป็นประโยชน์กับเครือข่ายการดำเนินงานด้านความปลอดภัยในการนำไปพิจารณาต่อยอด และปรับใช้กับการดำเนินงานของทุกท่านต่อไป

เช่นเดียวกับนายทัตสึยะ โนซากิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัดกล่าวว่า จากหลักการบริหารจัดการของยามาฮ่าในการดำเนินธุรกิจย่างมีหลักจริยธรรมและรับผิดชอบต่อสังคม และบริษัทจึงมีความมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อไปในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการลดจำนวนอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม และชื่อว่าผลของการวิจัยที่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากโครงการนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน