เทสต์คาร์ วุฒิณี ทับทอง
ถ้าจะบอกว่า ฮอนด้า ซิตี้ แฮตช์แบ็ก ไฮบริด (e:HEV) คันนี้
ถือเป็นรถที่มา “เหนือสุด” ในตระกูลเดอร์ ซิตี้ ซีรีส์ นั้นไม่ผิด…
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- ออมสิน ฉลองครบวาระ 111 ปี จัดเต็ม สลากออมสินลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาท
ด้วยรูปร่างหน้าตา การออกแบบของฮอนด้า ซิตี้ แฮตช์แบ็ก ไฮบริดคันนี้ ไม่ได้แตกต่างจากเวอร์ชั่น แฮตช์แบ็ก รุ่นเครื่องยนต์ปกติ
สิ่งที่ต่างกันคือเรื่องของขุมพลังนอกจากเครื่องยนต์ปกติแล้ว ฮอนด้ายังได้นำระบบไฮบริดเข้ามาใส่ด้วย เพื่อให้รถคันนี้ก้าวขึ้นไปอีกสเต็ปในเชิงเทคโนโลยี
และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จัดเต็มด้วยชุดแต่ง “RS” ที่เรียกว่า สะดุดตา กับหน้าตา ความสปอร์ต และความดุดัน
ด้วยสปอยเลอร์หลังที่ตกแต่งด้วยสีดำแบบสปอร์ต ติดสัญลักษณ์ RS ที่กันชนด้านหน้า-หลัง
ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน และไฟท้ายแบบ LED รวมทั้งไฟท้ายและไฟตัดหมอกแบบ LED
กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตปรับและพับแบบไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ส่วนล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว รมดำ
เรียกว่าน่าจะถูกใจกับความลงตัวของการออกแบบฮอนด้า ได้ใส่โลโก้ H Mark ด้วยการตกแต่งกรอบสีฟ้า โทนน้ำงิน
เพื่อเป็นการย้ำถึงความชัดเจนว่า รถคันนี้คือรถยนต์ “ไฮบริด” และโลโก้ e:HEV
การออกแบบภายห้องโดยสารไม่ได้แตกต่างไปจากรุ่นแฮตช์แบ็กเครื่องยนต์ปกติ ออกแบบมาได้ค่อนข้างดีและไม่ได้ เสียพื้นที่ไปกับการจัดวางแบตเตอรี่แต่อย่างใด
เบาะโดยสารในรถคันนี้ยังคงความอเนกประสงค์ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามรูปแบบการใช้งานถึง 4 รูปแบบเช่นเดิม แม้จะมีแบตเตอรี่ไฮบริดเข้ามาเพิ่ม แต่ไม่ได้เข้ามากินพื้นที่ของห้องโดยสารไปแต่อย่างใด
ที่สำคัญ รถคันนี้ยังสามารถพับเบาะได้ราบเรียบ ตรงนี้ต้องชอบการใส่ใจรายละเอียดของฮอนด้าจริง ๆ
ส่วนฟังก์ชั่นต่าง ๆ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกยังคงครบครัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีความปลอดภัย “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” มาครบ
เช่นเดียวกับตัวท็อปของรุ่นเครื่องยนต์ 1.0 ลิตรเทอร์โบ ทั้งระบบการเตือนการชนด้านหน้า, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบเตือนและควบคุมเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในเลน, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
แถมยังมีระบบเบรกมือไฟฟ้า, ระบบออโตเบรกโฮล, ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน กล้องมองหลังปรับมุมได้ 3 ระดับ ฯลฯ เรียกว่า ครบครัน
จากจุดสตาร์ตย่านสุวรรณภูมิ เนื่องจากข้อจำกัดในช่วงสถานการณ์โควิด ทีมงานฮอนด้าให้เราขับแบบฟรีรัน เลือกเส้นทางการทดสอบเอง
ไม่รอช้า “ประชาชาติธุรกิจ” ตัดสินใจเลือกใช้เส้นทางวิ่งย้อนกลับเข้าสู่เมือง เพื่อดูความคล่องตัวของรถคันนี้ มุ่งเป้าเข้ามายังหนึ่งในเดสติเนชั่นของนักเดินทางจากทั่วโลก สู่ ถ.ข้าวสาร ที่บรรยากาศเงียบเหงาจริง ๆ
เมื่อกดปุ่มสตาร์ต เสียงของเครื่องยนต์ ถือว่าเงียบ…
เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว เครื่องเดียวกับฮอนด้า ซิตี้ ซีดาน ไฮบริด ที่มาพร้อมกับเกียร์ E-CVT แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน ที่ตอบสนองด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,000 รอบต่อนาที
การทำงานของระบบไฮบริดในซิตี้คันนี้ เป็นฟูลไฮบริด ฮอนด้าทำออกมาได้ค่อนข้างจะสมบูรณ์
ช่วงสตาร์ตออกตัว ออกตัวด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า เงียบกริบ จังหวะออกตัว อัตราเร่งค่อนข้างดี
ลงจากทางด่วนยมราช เส้นราชดำเนิน การจราจรจอแจเล็กน้อย
แต่รถคันนี้กลับให้ความคล่องตัวสูง ทำได้ดีกว่าในบรรดาพี่น้องในตระกูลเดอะซิตี้ ซีรีส์ ทั้งการควบคุมรถผสานกับการทำงานของเครื่องยนต์ ดูเหมาะเจาะลงตัว
จังหวะที่วิ่งข้ามทางรถไฟ การซับแรงกระแทก ทำให้ค่อนข้างยืดหยุ่นและนุ่ม ถือเป็นเอกลักษณ์เด่นของฮอนด้า
ส่วนในเส้นทางขากลับนั้น วิ่งขึ้นทางด่วน มีจังหวะกดทำความเร็วผิดคาด
เมื่อเทียบกับรุ่นแฮตช์แบ็ก 1.0 ลิตรเทอร์โบ การตอบสนองของรถเวอร์ชั่นไฮบริดคันนี้ ทำได้ถูกอกถูกใจจริง ๆ แม้ว่าจะวิ่งด้วยความเร็วในจังหวะเข้าโค้ง รถยึดเกาะถนน ชนิดที่ว่าหน้าจิกไปกับพื้นถนน เพิ่มความมั่นใจช่วงล่างเซตมาได้เยี่ยมจริง ๆ ควบคุมรถได้ง่าย
ส่วนการเก็บเสียงในห้องโดยสาร จังหวะที่กดเร่งความเร็ว แบบคิกดาวน์ในช่วงไต่ระดับจาก 100 วิ่งขึ้นไป ย่าน 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ ดังแทรกเข้ามา สัมผัสได้ถึงอาการเค้นเรียกกำลังมากทีเดียว
แต่เมื่อผ่านช่วงที่กำลังของเครื่องยนต์ถูกปลุกขึ้นมา ปรากฏว่ารถคันนี้วิ่งได้ปร๋อ…เสียงความเครียดของเครื่องยนต์หายไป กลายเป็นวิ่งได้เนียน ๆ
ส่วนเรื่องเสียงแทรกของแรงลมปะทะที่เข้ามา ต้องบอกว่าด้วยขนาดของตัวรถที่เป็นซิตี้คาร์ ถ้าวิ่งด้วยความเร็วระดับนี้ ไม่แปลกที่จะมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งถือว่าเสียงอยู่ในระดับที่รับได้
ฮอนด้ายังใส่ตัวแพดเดิลชิฟต์เข้ามาให้ที่พวงมาลัย เพื่อช่วยหน่วงเครื่องยนต์หรือเอ็นจิ้นเบรก แล้วยังทำหน้าที่สร้างกระแสกลับไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ไฮบริดด้วย
ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวชอบมาก เพราะเราไม่จำเป็นต้องแตะเบรก แค่ใช้แพดเดิลชิฟต์ได้ถึง 2 อย่าง ชะลอรถ และยังสามารถชาร์จไฟได้ด้วย ได้อรรถรสไปอีกแบบ
ต้องบอกว่าซิตี้ แฮตช์แบ็ก ไฮบริดคันนี้ ขับสนุก น่าจะตอบโจทย์กับลูกค้าคนรุ่นใหม่ หรือจะใช้งานเป็นรถครอบครัว ก็น่าจะลงตัว
รวมระยะทางวิ่งไปกลับ 108.8 กิโลเมตร กดดูอัตราสิ้นเปลื้อง ทำได้ 18.5 กิโลเมตรต่อลิตร กับการขับแบบวิ่งกระจายทั้งในเมืองนอกเมือง ถือว่าประหยัดพอดู ตัวเลขที่ฮอนด้าเคลมไว้ 27 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าน่าพอใจ
หากจะเปรียบเทียบกับบรรดาพี่น้องในตระกูลแล้ว จะเป็นมาเหนือพี่ ๆ ทั้ง 3 รุ่นก่อนหน้านี้
กับราคา 8.49 แสนบาทนั้น ถือว่าน่าสนใจ…
แต่ถ้าฮอนด้าทำราคาหย่อนกว่านี้อีกนิดหน่อยรับรองขายกระจุย