ฮอนด้า ซิตี้ แฮตช์แบ็ก ไฮบริด นิ่ง เนียน มาเหนือ…สุดในตระกูล

เทสต์คาร์
วุฒิณี ทับทอง

ถ้าจะบอกว่า ฮอนด้า ซิตี้ แฮตช์แบ็ก ไฮบริด (e:HEV) คันนี้

ถือเป็นรถที่มา “เหนือสุด” ในตระกูลเดอร์ ซิตี้ ซีรีส์ นั้นไม่ผิด…

ด้วยรูปร่างหน้าตา การออกแบบของฮอนด้า ซิตี้ แฮตช์แบ็ก ไฮบริดคันนี้ ไม่ได้แตกต่างจากเวอร์ชั่น แฮตช์แบ็ก รุ่นเครื่องยนต์ปกติ

สิ่งที่ต่างกันคือเรื่องของขุมพลังนอกจากเครื่องยนต์ปกติแล้ว ฮอนด้ายังได้นำระบบไฮบริดเข้ามาใส่ด้วย เพื่อให้รถคันนี้ก้าวขึ้นไปอีกสเต็ปในเชิงเทคโนโลยี

และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จัดเต็มด้วยชุดแต่ง “RS” ที่เรียกว่า สะดุดตา กับหน้าตา ความสปอร์ต และความดุดัน

ด้วยสปอยเลอร์หลังที่ตกแต่งด้วยสีดำแบบสปอร์ต ติดสัญลักษณ์ RS ที่กันชนด้านหน้า-หลัง

ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน และไฟท้ายแบบ LED รวมทั้งไฟท้ายและไฟตัดหมอกแบบ LED

กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตปรับและพับแบบไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ส่วนล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว รมดำ

เรียกว่าน่าจะถูกใจกับความลงตัวของการออกแบบฮอนด้า ได้ใส่โลโก้ H Mark ด้วยการตกแต่งกรอบสีฟ้า โทนน้ำงิน

เพื่อเป็นการย้ำถึงความชัดเจนว่า รถคันนี้คือรถยนต์ “ไฮบริด” และโลโก้ e:HEV

การออกแบบภายห้องโดยสารไม่ได้แตกต่างไปจากรุ่นแฮตช์แบ็กเครื่องยนต์ปกติ ออกแบบมาได้ค่อนข้างดีและไม่ได้
เสียพื้นที่ไปกับการจัดวางแบตเตอรี่แต่อย่างใด

เบาะโดยสารในรถคันนี้ยังคงความอเนกประสงค์ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามรูปแบบการใช้งานถึง 4 รูปแบบเช่นเดิม แม้จะมีแบตเตอรี่ไฮบริดเข้ามาเพิ่ม แต่ไม่ได้เข้ามากินพื้นที่ของห้องโดยสารไปแต่อย่างใด

ที่สำคัญ รถคันนี้ยังสามารถพับเบาะได้ราบเรียบ ตรงนี้ต้องชอบการใส่ใจรายละเอียดของฮอนด้าจริง ๆ

ส่วนฟังก์ชั่นต่าง ๆ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกยังคงครบครัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีความปลอดภัย “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” มาครบ

เช่นเดียวกับตัวท็อปของรุ่นเครื่องยนต์ 1.0 ลิตรเทอร์โบ ทั้งระบบการเตือนการชนด้านหน้า, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบเตือนและควบคุมเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในเลน, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ

แถมยังมีระบบเบรกมือไฟฟ้า, ระบบออโตเบรกโฮล, ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน กล้องมองหลังปรับมุมได้ 3 ระดับ ฯลฯ เรียกว่า ครบครัน

จากจุดสตาร์ตย่านสุวรรณภูมิ เนื่องจากข้อจำกัดในช่วงสถานการณ์โควิด ทีมงานฮอนด้าให้เราขับแบบฟรีรัน เลือกเส้นทางการทดสอบเอง

ไม่รอช้า “ประชาชาติธุรกิจ” ตัดสินใจเลือกใช้เส้นทางวิ่งย้อนกลับเข้าสู่เมือง เพื่อดูความคล่องตัวของรถคันนี้ มุ่งเป้าเข้ามายังหนึ่งในเดสติเนชั่นของนักเดินทางจากทั่วโลก สู่ ถ.ข้าวสาร ที่บรรยากาศเงียบเหงาจริง ๆ

เมื่อกดปุ่มสตาร์ต เสียงของเครื่องยนต์ ถือว่าเงียบ…

เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว เครื่องเดียวกับฮอนด้า ซิตี้ ซีดาน ไฮบริด ที่มาพร้อมกับเกียร์ E-CVT แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน ที่ตอบสนองด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,000 รอบต่อนาที

การทำงานของระบบไฮบริดในซิตี้คันนี้ เป็นฟูลไฮบริด ฮอนด้าทำออกมาได้ค่อนข้างจะสมบูรณ์

ช่วงสตาร์ตออกตัว ออกตัวด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า เงียบกริบ จังหวะออกตัว อัตราเร่งค่อนข้างดี

ลงจากทางด่วนยมราช เส้นราชดำเนิน การจราจรจอแจเล็กน้อย

แต่รถคันนี้กลับให้ความคล่องตัวสูง ทำได้ดีกว่าในบรรดาพี่น้องในตระกูลเดอะซิตี้ ซีรีส์ ทั้งการควบคุมรถผสานกับการทำงานของเครื่องยนต์ ดูเหมาะเจาะลงตัว

จังหวะที่วิ่งข้ามทางรถไฟ การซับแรงกระแทก ทำให้ค่อนข้างยืดหยุ่นและนุ่ม ถือเป็นเอกลักษณ์เด่นของฮอนด้า

ส่วนในเส้นทางขากลับนั้น วิ่งขึ้นทางด่วน มีจังหวะกดทำความเร็วผิดคาด

เมื่อเทียบกับรุ่นแฮตช์แบ็ก 1.0 ลิตรเทอร์โบ การตอบสนองของรถเวอร์ชั่นไฮบริดคันนี้ ทำได้ถูกอกถูกใจจริง ๆ แม้ว่าจะวิ่งด้วยความเร็วในจังหวะเข้าโค้ง รถยึดเกาะถนน ชนิดที่ว่าหน้าจิกไปกับพื้นถนน เพิ่มความมั่นใจช่วงล่างเซตมาได้เยี่ยมจริง ๆ ควบคุมรถได้ง่าย

ส่วนการเก็บเสียงในห้องโดยสาร จังหวะที่กดเร่งความเร็ว แบบคิกดาวน์ในช่วงไต่ระดับจาก 100 วิ่งขึ้นไป ย่าน 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์
ดังแทรกเข้ามา สัมผัสได้ถึงอาการเค้นเรียกกำลังมากทีเดียว

แต่เมื่อผ่านช่วงที่กำลังของเครื่องยนต์ถูกปลุกขึ้นมา ปรากฏว่ารถคันนี้วิ่งได้ปร๋อ…เสียงความเครียดของเครื่องยนต์หายไป กลายเป็นวิ่งได้เนียน ๆ

ส่วนเรื่องเสียงแทรกของแรงลมปะทะที่เข้ามา ต้องบอกว่าด้วยขนาดของตัวรถที่เป็นซิตี้คาร์ ถ้าวิ่งด้วยความเร็วระดับนี้ ไม่แปลกที่จะมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งถือว่าเสียงอยู่ในระดับที่รับได้

ฮอนด้ายังใส่ตัวแพดเดิลชิฟต์เข้ามาให้ที่พวงมาลัย เพื่อช่วยหน่วงเครื่องยนต์หรือเอ็นจิ้นเบรก แล้วยังทำหน้าที่สร้างกระแสกลับไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ไฮบริดด้วย

ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวชอบมาก เพราะเราไม่จำเป็นต้องแตะเบรก แค่ใช้แพดเดิลชิฟต์ได้ถึง 2 อย่าง ชะลอรถ และยังสามารถชาร์จไฟได้ด้วย ได้อรรถรสไปอีกแบบ

ต้องบอกว่าซิตี้ แฮตช์แบ็ก ไฮบริดคันนี้ ขับสนุก น่าจะตอบโจทย์กับลูกค้าคนรุ่นใหม่ หรือจะใช้งานเป็นรถครอบครัว ก็น่าจะลงตัว

รวมระยะทางวิ่งไปกลับ 108.8 กิโลเมตร กดดูอัตราสิ้นเปลื้อง ทำได้ 18.5 กิโลเมตรต่อลิตร กับการขับแบบวิ่งกระจายทั้งในเมืองนอกเมือง ถือว่าประหยัดพอดู ตัวเลขที่ฮอนด้าเคลมไว้ 27 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าน่าพอใจ

หากจะเปรียบเทียบกับบรรดาพี่น้องในตระกูลแล้ว จะเป็นมาเหนือพี่ ๆ ทั้ง 3 รุ่นก่อนหน้านี้

กับราคา 8.49 แสนบาทนั้น ถือว่าน่าสนใจ…


แต่ถ้าฮอนด้าทำราคาหย่อนกว่านี้อีกนิดหน่อยรับรองขายกระจุย