MG ZS ไมเนอร์เชนจ์ ใส่ออปชั่นคุ้ม เกินราคา

เอ็มจี แซดเอส MG ZS
คอลัมน์ เทสต์ คาร์ 
โดย วุฒิณี ทับทอง

ไม่แปลกใจ ว่าทำไมจำนวนประชากรรถยนต์เอ็มจีในบ้านเรามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรถในกลุ่มบี-เอสยูวี อย่าง เอ็มจี แซดเอส (MG ZS) ที่ดูจะได้รับความนิยมและการตอบรับจากลูกค้าบ้านเราเป็นอย่างดี

ต้องยอมรับว่าเป็นผลมาจากการอ่านเกมขาดของทีมมาร์เก็ตติ้งของค่ายนี้ ที่เลือกจังหวะการเปิดตัวเข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้อย่างเหมาะเจาะ บวกกับเทรนด์ของผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความนิยมรถยนต์ประเภทนี้เพิ่มมากขึ้น

ล่าสุด เอ็มจี เพิ่มความสด ใหม่ ให้กับ เอ็มจี แซดเอส ไมเนอร์เชนจ์ ด้วยการลบจุดด้อย เพิ่มออปชั่นเข้ามา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้งานให้มากขึ้น เพียงครึ่งปีแรก รถรุ่นนี้กวาดยอดขายไปแล้วถึง 4,345 คัน นั่นยอมเป็นเครื่องมือที่สะท้อนการยอมรับในตัวผลิตภัณฑ์ และแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

หลังจากเอ็มจีเปิดตัวรถรุ่นนี้ไปเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นจังหวะก่อนที่เชื้อไวรัสโคโรน่าจะแพร่กระจาย จนเรา ๆ ท่าน ๆ ต้องเข้าสู่มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม

จนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสได้นำรถคันนี้มาทดสอบ… ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ เอ็มจี แซดเอส เวอร์ชั่นนี้ ลองไปติดตามดู

การออกแบบภายนอกนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ที่สะดุดตา คือ ความสปอร์ต และรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว กับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ และการให้เส้นด้านข้างแบบ British shoulder line เน้นความไหลลื่นโค้งมน

ชุดโคมไฟหน้าเป็นแบบ LED projector ที่ควบคุมการเปิด-ปิดอัตโนมัติ ให้แสงสว่างในช่วงเวลากลางวัน (daytime-running light)

ไฟท้ายเป็นแบบแอลอีดี ให้แสงสว่างเด่นชัด เวลากลางวัน และกลางคืน แถมเท่ยิ่งขึ้นด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว

เมื่อเข้ามาภายในห้องโดยสาร เอ็มจีตั้งใจออกแบบให้รถคันนี้ เต็มไปด้วยบรรยากาศของความสปอร์ต หรูหรา และสมาร์ท ห้องโดยสารใช้วัสดุ soft touch ในการตกแต่งเป็นทูโทน เน้นสีดำตัดกับสีน้ำตาล ซึ่งโดยส่วนตัวการให้มาของโทนสีน้ำตาลที่ใช้นั้น ยังดูขัด ๆ ไม่ลงตัวในเรื่องของโทนสี

เพิ่มความสมาร์ทให้กับรถ ด้วยจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัล (cluster) ดีไซน์ใหม่ ขนาด 7 นิ้ว ที่สามารถสั่งการและควบคุมการใช้งาน ทั้งการปรับอุณหภูมิห้องโดยสาร การตั้งค่าพวงมาลัยไฟหน้า การควบคุมเครื่องเสียง ฯลฯ เรียกว่าให้ความสะดวกเพียงปลายนิ้วสัมผัส และยังชัดเจนด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ เพียงแต่การประมวลผลและการแสดงผลบางฟังก์ชั่น เช่น การใช้กล้องมองข้าง หรือถอยหลังแบบ 360 องศานั้น

ภาพที่แสงผ่านมาทางหน้าจอยังไม่คมชัดเท่าที่ควร แต่ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะสิ่งที่เอ็มจีให้มานั้นถือว่ามี ดีกว่าไม่มี ส่วนเบาะที่นั่งฝั่งคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง เพิ่มที่พักแขนด้านหน้าเข้ามาให้ เอ็มจี แซดเอส คันนี้ ยังคงใส่หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (panoramic sunroof) เข้ามาไว้เช่นเดิม

และนอกจากการสั่งงานผ่านระบบหน้าจอสัมผัสแล้ว สิ่งที่โดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเอ็มจี คือ ระบบi-SMART ที่ช่วยให้เราสามารถสื่อสารกับรถได้ง่าย ๆ ด้วยการเชื่อมคนกับรถด้วยเทคโนโลยี AI ด้วยการสั่งงานด้วยเสียง เพิ่มความสะดวกสบายให้เราได้อีกขั้น

เพียงแต่จังหวะ หรือบางครั้งของการสั่งการ ระบบอาจจะยังไม่เสถียร แต่ช่วยให้การใช้งานเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นเยอะ
โดยส่วนตัวชอบกับความสะดวกสบายที่เอ็มจีตั้งใจใส่เข้ามา ยิ่งช่องเสียบยูเอสบีนั้น มีมาให้เหลือเฟือถึง 5 จุด คือ คอนโซนกลาง

ด้านหน้า 2 จุด คอนโซลที่ห้องโดยสารด้านหลัง 2 จุด และยังเพิ่มในส่วนของด้านข้างกระจกมองหลังมาอีกจุด สำหรับผู้ที่ต้องการชาร์จพลังงานไว้สำหรับกล้องวิดีโอบันทึกภาพ ไม่ต้องโยงสายไฟเชื่อมต่อให้ระโยงระยาง

สำหรับขุมกำลังของรถเอ็มจี แซดเอส ไมเนอร์เชนจ์ คันนี้ ยังคงเป็นเครื่องยนต์เดิม คือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 114 แรงม้า แรงบิดที่ 150 นิวตันเมตร

เปลี่ยนเกียร์ใหม่ เป็นเกียร์ CVT 8 สปีด ช่วยให้การขับขี่มีความสมูทมากขึ้น แต่ในส่วนของอัตราเร่ง และเครื่องยนต์ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก จังหวะออกตัวเครื่องยนต์ตอบสนองช้า เช่นเดียวกับจังหวะเร่งแซงที่ต้องกะระยะ อาศัยจังหวะในการตัดสินใจพอสมควร ความที่เครื่องยนต์ยังเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดิม

ส่วนช่วงล่างนั้นถือว่าเซตเน้นที่ความนุ่มนวล จังหวะที่วิ่งด้วยความเร็ว หรือเข้าโค้งแรง ๆ ทำให้ต้องออกแรงบังคับรถ เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นก่อน

ส่วนตัวแล้วชอบช่วงล่างของเวอร์ชั่นก่อน ที่จะมีความกระด้าง หนึบหนับกว่า แต่ช่วงล่างในเวอร์ชั่นนี้น่าจะถูกใจกลุ่มผู้ใช้งานในเมือง หรือกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นสุภาพสตรีมากขึ้น

ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า คนที่กำลังมองหารถประเภทนี้ไว้ใช้งาน เมื่อมองจากตัวเลือกในตลาด เทียบกับออปชั่นและราคา รุ่นท็อปที่ 799,000 บาท รถคันนี้น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ