คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
ในการประชุมเอเปคครั้งนี้ เรื่องที่เป็น “ไฮไลต์” ที่สุดคือ เรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก หรือ FTAAP
ฟังแนวคิดแล้วเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- ราคาทองวันนี้ (29 มี.ค. 67) พุ่งกระฉูด 600 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 39,050 บาท
- เลิกอุ้มดีเซล 30 บาท จ่อขยับเพดานราคา 2 บาท มีผล 1 เมษายน 2567
มีตลาด 2,900 ล้านคน
ตามปกติของการประชุมแบบนี้จะไม่ได้เป็นรูปธรรมในเร็ววัน
แต่ถือเป็นการปักธงความคิดไว้ แล้วค่อย ๆ สานต่อ
จะเป็นจริงหรือไม่ และเป็นจริงเมื่อไร
อย่าเพิ่งถาม
เพราะเป็นเรื่องที่ใช้เวลา
ตอนที่อ่านข่าวนี้ สิ่งแรกที่ผมรู้สึกก็คือ มีคนไทยกี่คนที่รู้เรื่องนี้
และมีคนไทยเท่าไรที่รู้ว่าเนื้อหาของประชุมเอเปคมีอะไรน่าสนใจบ้าง
เพราะตอนนี้มีแต่ข่าวเรื่องเมนูอาหารของผู้นำโลก
เจาะลึกไปถึง “ปลากุเลาเค็มตากใบ”
รัฐบาลอาจจะบอกได้ว่า ประชาสัมพันธ์หรือบอกไปแล้วแต่ไม่สนใจกันเอง
หรือพูดแล้วไม่ฟัง
ในมุมของการสื่อสาร เรื่องนี้ต้องตั้งคำถามใหม่
ไม่ใช่ถามคนรับสารว่า ทำไมพูดแล้วไม่ฟัง
แต่ต้องถามตัวเองว่า สื่อสารอย่างไร ทำไมคนไม่รู้เรื่องนี้
ต้องยอมรับว่า เรื่องการสื่อสารเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้
ถ้าใครจำบรรยากาศการประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพสมัยรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” จะรู้เลยว่าแตกต่างกันมาก
ครั้งก่อน เป็นงานใหญ่ที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก
ทั้งผู้นำประเทศที่มาร่วมงาน และการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่
ที่สำคัญคือ เรื่องการสื่อสารที่ทำให้คนไทยรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของงานนี้
แต่ครั้งนี้ทุกอย่างลดระดับลงมาก
ผู้นำประเทศระดับมหาอำนาจอย่าง “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ “วลาดีเมียร์ ปูติน” ผู้นำรัสเซีย ไม่เดินทางมาเอง
มีแต่ “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนมาเพียงคนเดียว
ที่สำคัญในช่วงการประชุมเอเปค มี 2 งานใหญ่ คือ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่กัมพูชา และการประชุม G20 ที่อินโดนีเซีย
“โจ ไบเดน” ไป 2 งานนี้ แต่ไม่มาไทย
“ปูติน” ไม่ไปทุกงาน
“สี จิ้นผิง” ไปที่อินโดนีเซียและไทย
ที่สำคัญ ภาพประวัติศาสตร์โลกเพิ่งเกิดขึ้นที่อินโดนีเซีย เมื่อ “ไบเดน-สี จิ้นผิง” ได้มาเจอกัน
ที่ผ่านมาเขาคุยออนไลน์กันตลอด เพิ่งมีโอกาสเจอกันแบบสัมผัสมือจริง ๆ ครั้งแรกที่นี่
แม้ความน่าสนใจของการประชุมเอเปคจะลดลง ซึ่งอาจถูกตีความทางการเมืองได้ว่า การเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศของไทยอ่อนมากในช่วงที่ผ่านมา
แต่อย่างน้อยผู้นำประเทศหลายประเทศก็มาไทย รัฐบาลเจรจาทวิภาคีกับหลายประเทศ
ถ้าทำดี ๆ ก็คงมีอะไรติดไม้ติดมือบ้าง
แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ กองทัพผู้สื่อข่าวทั่วโลกมาเมืองไทยในช่วงเวลาที่ไทยกำลังเปิดประเทศรับการท่องเที่ยว
ในครั้งก่อน จำได้ว่ามีการเตรียมการเรื่องนักข่าวต่างชาติอย่างละเอียด
เพราะรู้ว่าเขาจะช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศไทยได้
ธรรมชาติของนักข่าวเมื่อไปต่างประเทศ เขาจะไม่ทำข่าวเฉพาะเนื้อหาการประชุม แต่จะทำเรื่องราวของประเทศเจ้าภาพด้วย
ถ้าเราทำการบ้านดี ๆ มีการสื่อสารหรืออำนวยความสะดวกดี ๆ นักข่าวต่างชาติจะช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศไทยเป็นอย่างดี
ยิ่งในช่วงที่เราต้องการรายได้จากการท่องเที่ยวมาเยียวยาเศรษฐกิจไทย
เมื่อผลประโยชน์ทางตรงได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
อย่างน้อยหาประโยชน์ “ทางอ้อม” จากการประชาสัมพันธ์ประเทศ
ให้ต่างชาติรู้ว่าวันนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในการ “เปิดประเทศ” แค่ไหน หลังโควิด
แม้คนไทยยังไม่ “เปิดหน้ากาก” ก็ตาม