เปิดจุดขายนโยบายเศรษฐกิจ 8 พรรค ชูจุดแข็งวิธีหาเงินเข้าประเทศ

ก่อนการยุบสภา เข้าสู่ฤดูเลือกตั้ง 2566

บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ จัดชุมนุมนักการเมืองทั้งระดับหัวหน้าพรรค แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรค ที่เข้าใกล้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่มากที่สุด 8 พรรค เปิดจุดแข็งในการแก้ไขปัญหาการเมือง-เศรษฐกิจ

“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวม “จุดขายเศรษฐกิจ” ของหัวหน้า-ตัวแทนพรรคการเมือง 8 พรรค ดังนี้

ปชป.เพิ่มทุน SMEs 3 แสนล้าน

นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดหัวดีเบตเป็นคู่แรก เรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์-ซอฟต์พาวเวอร์ ว่า ประเทศไทยมีความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ที่สำคัญมากต่อเศรษฐกิจไทย เป็นแหล่งจ้างงานของคนไทย มีรายได้จากการท่องเที่ยวปีละ 2 ล้านล้านบาท

ภาคการท่องเที่ยวต้องกลับมา ต้องมีมาตรการช่วยเหลือ วันนี้ธุรกิจโรงแรมขาดทุนเสียหายมาก ประชาธิปัตย์จะเพิ่มเงินทุนให้เอสเอ็มอี ผ่านกองทุน 3 แสนล้านบาท เพื่อสร้างซอฟต์พาวเวอร์ หารายได้เข้าประเทศ

นอกจากนี้ จะตั้งธนาคารหมู่บ้านแห่งละ 2 ล้านบาท ลงไปในท้องถิ่นต่าง ๆ สร้างซอฟต์พาวเวอร์ในตัวเอง เพื่อหารายได้เข้าท้องถิ่น

พปชร.เคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ 5 ด้าน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า หัวใจการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์คือ ทุนวัฒนธรรม สำคัญที่สุดคือ 1.อาหารไทยสู่ตลาดโลก 2.เฟสติวัล คือเสน่ห์ ความหลากหลายของประเพณีและวัฒนธรรม 3.ศูนย์กลางแฟชั่นที่มีมิติวัฒนธรรม 4.ฟิล์ม ภาพยนตร์และโฆษณา 5.มวยไทย

ประเทศไทยต่อสู้กับทุกประเทศทั่วโลกได้บนภาคบริการ 3 กลไกสำคัญในการเปลี่ยนผ่าน สิ่งแรก นโยบายต้องชัดเจน ต้อบริหารงบประมาณ และกลไกรัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมเอกชน

ภูมิใจไทยต่อยอด 30 บาทรักษาทุกที่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรวย-คนจน ธุรกิจขนาดใหญ่-ผู้ค้าขายรายย่อยว่า คนต้องมีสิทธิที่จะได้รับการดูแลจากรัฐมากที่สุด ต้องเท่าเทียมกันทุกคน

ต่อยอดโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค คนไทยทุกคนรักษาทุกที่ มะเร็ง ฉายรังสี ทุกจังหวัด ล้างไต ฟอกไต ครบ

เรื่องการศึกษา รัฐให้ยืม ไม่ต้องกู้ ไม่ต้องมีดอกเบี้ย ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ใช้กฎหมายให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

เชื่อว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศไม่มีเครดิต หาแหล่งเงินกู้ที่ดอกเบี้ยต่ำมากได้ รัฐวิสาหกิจควรจะมีรายได้มากขนาดนั้นไหม นำเม็ดเงินมาดูแลพี่น้องประชาชน

เพื่อไทยเพิ่มรายได้เกษตร 3 เท่า 4 ปี

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านนโยบายและเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทยกล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจถดถอย ล้าหลัง เราต้องลดน้ำที่ราก มีรายได้น้อยต้องได้รับการดูแลก่อน ยกระดับเศรษฐกิจทั้งประเทศ

การศึกษาของ IMF ชัดเจนว่า การทำให้เศรษฐกิจของชนชั้นบน 20 % เพิ่มขึ้น 1% ภาพรวมเศรษฐกิจของ GDP ถอยลงไป 0.08 % ตรงกันข้ามถ้าทำให้รายได้คนส่วนล่าง 20% เพิ่ม 1%ทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 0.38% ต่างกัน 6 เท่า

พรรคเพื่อไทยคิดครบทุกมิติ เริ่มต้นแก้ระยะสั้น ดึงการท่องเที่ยวกลับมา เปิดประตูรับเงินจากต่างประเทศ กระจายไปทั่วถึง เพิ่มรายได้เกษตรกรที่มีอยู่ 40% คิดเป็นสัดส่วน 8% ของจีดีพี 3 เท่าใน 4 ปี ให้เอสเอ็มอีมีการตลาด-การเงิน การเพิ่มผลิตผล และสร้างการเรียนรู้เพื่อรายได้ เรียนรู้ตลอดชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีใหม่

ก้าวไกล-ชาติไทยพัฒนา ชิงคะแนนขึ้นค่าแรง

นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของพรรคชาติไทยพัฒนา บอกแนวทางกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ หรือผลตอบแทนสำหรับคนทำงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีของพรรคชาติไทยพัฒนาว่า พรรคมีเป้าหมายมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

โจทย์ พรรคเราจะอัพสกิล รีสกิลคนในระบบเศรษฐกิจทั้งระบบอย่างไร รัฐควรให้ tax intensive แรงจูงใจให้ภาคเอกชน
อัพสกิล รีสกิลแรงงานในระบบ ภาคการศึกษาปรับปรุงทั้งในระบบและนอกระบบ

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมีนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ
ให้เป็น 450 บาทต่อวัน แต่ค่าแรงขั้นต่ำต้องขึ้นทุกปี โดยพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อและจีดีพี

“พรรคเราต้องวางระบบค่าแรงขั้นต่ำให้เพิ่มขึ้นทุกปี เพื่อยุติการนำค่าแรงขั้นต่ำมาใช้ในการหาเสียงและสร้างอำนาจต่อรองให้กับแรงงานทุกคน และกำหนดให้เพิ่มทักษะและปรับเปลี่ยนอาชีพได้ ผ่านโปรแกรมฝึกอบรมออนไลน์และออฟไลน์”

นโยบายที่จะบรรเทาผลกระทบให้กับ SMEs จากค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น โดยงดจ่ายประกันสังคมเป็นระยะเวลา 6 เดือน สามารถลดหย่อนภาษีที่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำได้ 2 เท่า

สุวัจน์-สร้างเศรษฐกิจใหม่ 5 ล้านล้าน

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า โชว์ความสามารถในการหาเงินเข้าประเทศ ในสถานการณ์ที่ประเทศมีค่าใช้จ่ายหลายด้านว่า พรรคชาติพัฒนากล้าได้พัฒนานโยบายหาเงินเข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาท จากนโยบายเศรษฐกิจหลากสี เป็นเงินใหม่ งานใหม่

รายได้เร็วที่สุดต้องภาคท่องเที่ยว 4 ปีข้างหน้าต้องเป็น 2 เท่าของ 40 ล้านคน หรือ 70 ล้านคน อยู่ในไทย 10 วัน เป็น 12 วัน ใช้จ่ายวันละ 5,000 บาท เป็น 6,000 บาท 70 ล้านคน คูณ 12 วัน คูณ 6,000 บาท กลายเป็น 5 ล้านล้านบาททันที

พลังซอฟต์พาวเวอร์ ฟิล์ม ไฟติ้ง แฟชั่น ฟู้ด เฟสติวัล เป็นจุดแข็งของสังคมไทย เกษตร เปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรม งานอีกหลายล้านตำแหน่ง รายได้อีกหลายร้อยเท่าจะเข้ามาทันที

การลดรายจ่ายคือการเพิ่มรายได้ทางอ้อม ด้วยการรื้อโครงสร้างพลังงาน เพื่อลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้า เรื่องค่าการกลั่น ค่าการตลาด ต้นทุนการผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานทดแทน ปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดารายได้ 4 หมื่นบาท ไม่เสียภาษี

งดใช้กฎหมายเอื้อธุรกิจ 1,400 ฉบับ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าและประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย ประกาศว่า พรรคเสนอนโยบายสร้างกลไกให้คนตัวเล็ก เอสเอ็มอีแข็งแรง ช่วยให้ประเทศมีรายได้มากขึ้น

เอสเอ็มอีต้องมีแต้มต่อ บีโอไอต้องให้แต้มต่อ ต้องมีนิคมสำหรับเอสเอ็มอีขึ้นมา มีวันสต็อปเซอร์วิส เพื่อให้เอสเอ็มอีส่งออกสร้างรายได้เข้าประเทศ เติบโต และเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

การหารายได้ประเทศมีหลายทาง ส่งออก 70% มีบริษัทใหญ่ไม่กี่ราย แต่หากสร้างบริษัทเล็กหมื่นรายจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง เราต้องโฟกัสสิ่งที่เราถนัด เกษตร ท่องเที่ยว ช่วยเหลือให้เข้าระบบภาษี เอกชนกับภาครัฐต้องร่วมกันสร้างประเทศไทย

“มีกฎหมายเป็นอุปสรรคมาก 1,400 กว่าฉบับ ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ ต้องแขวนกฎหมายไว้ งดการบังคับใช้ชั่วคราว ซึ่งนายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ คิดออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 1 ฉบับ แขวนกฎหมายเหล่านี้ รวมทั้งกฎหมาย อย.เป็นอุปสรรคมาก”