
เสียงคัดค้านและการตั้งคำถามเรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มีทั้ง 99 นักเศรษฐศาสตร์ และว่าที่อดีตรัฐมนตรีคลัง ศิริกัญญา ตันสกุล หัวหอกฝ่ายค้าน กลายเป็นมรสุมถล่มไปที่ เศรษฐา ทวีสิน ตั้งรับ และตอบโต้อยู่คนเดียวกว่า 2 เดือน
ย่างขึ้นเดือนที่ 3 ของรัฐบาล จึงเห็นเสียง-และหน้า ต้วเป็น ๆ ของนักการเมืองรุ่นใหญ่พรรคเพื่อไทย ตั้งหลักออกมาเซ็ตคำตอบ สร้างกระแสตอบโต้อย่างเป็นระบบ
- เปิดอัตราเงินเดือนข้าราชการใหม่ ได้ขึ้นทุกคุณวุฒิ “ปวช.ปริญญาตรี-เอก”
- คลังดึงออมสิน ช่วยแก้หนี้นอกระบบ พร้อมปล่อยกู้ 5 หมื่นบาทต่อราย
- ครม.เคาะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 10% เริ่มงวดแรกปี 2567
แน่นอนว่าเสียงที่ดังและมีน้ำหนักมากพอที่จะตอบโต้ทั้งนักวิชาการ-ฝ่ายค้าน และองค์กรอิสระ ต้องเป็นระดับขุนพลการเมืองคู่บารมีนายทักษิณ ชินวัตร
รายหนึ่งคือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช-หมอมิ้ง ปฏิบัติหน้าที่ “นายกฯน้อย” ประจำตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เคียงข้าง เศรษฐา ทวีสิน
อีกรายหนึ่ง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี-หมอเลี้ยบ ปฏิบัติหน้าที่พี่เลี้ยง ประจำตำแหน่ง คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เคียงข้าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
2 หมอการเมือง ที่เคยปฏิบัติการ “สวมแว่นการเมือง” ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ยุคก่อตั้งไทยรักไทย ต่อเนื่องถึง 2 สมัย จนถึงยุคพลังประชาชน คู่หูนายกฯ สมัคร สุนทรเวช และข้ามวิกฤติมาถึงยุคนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
2 หมอซึ่ง ไม่เคยห่างสนามแม่เหล็กการเมือง กลับสู่สนามที่มีคู่แข่งร้อนแรงระดับพรรคก้าวไกล และการท้าทายใหม่ของเหล่าเทคโนแครต จึงน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง
ปฏิบัติการขยี้ขยายเศรษฐกิจกำลังจะเฉาตาย
นพ.พรหมินทร์ หรือหมอมิ้ง ในเก้าอี้เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประมุขน้อยแห่งตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เปิดฉากออกมาแจงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตั้งแต่รัฐบาลทำงานได้ 30 วัน
จากนั้นเมื่อรัฐบาลครบรอบ 60 วัน เขาฉวยจังหวะ ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปประชุมเอเปค ที่สหรัฐอเมริกา ปฏิบัติคู่ขนาน ด้วยการตอบโต้-ชี้แจงเรื่องการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้าน เพื่อแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้ประชาชน 50 ล้านคน โดยให้รายละเอียดว่า
เป็นการกู้ในประเทศ ที่มีสภาพคล่องล้น พร้อมเปิดตัวเลขเศรษฐกิจตกต่ำ-ติดลบเกือบทุกตัว และตอกย้ำว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนเพราะถ้าไม่มีมาตรการนี้จะเกิด ต้มยำกุ้งและคนไทยจนเรื้อรัง และเศรษฐกิจกำลังจะเฉาตาย
ถ้าได้แจกเงิน 10,000 บาท จะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลเพื่อไทย ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เงินหมุน 3.3 รอบ มีผลต่อจีดีพี 1-1.5% ต่อจีดีพี
หมอมิ้งบอกว่า เมื่อเงิน 10,000 บาทถึงมือประชาชน เสียงวิจารณ์อาจจะเงียบลง
เศรษฐกิจไม่ดี-ดัชนีดิ่งเหว-ตอกย้ำต้องกู้ 5 แสนล้าน
เมื่อนางสาวสิริกัญญาตั้งคำถามว่า เศรษฐกิจวิกฤตจริงหรือ ให้เปิดตัวเลขมา แทนการตอบโต้ด้วยโวหาร นพ.พรหมินทร์จึงตั้งคำถามย้อนว่า “เศรษฐกิจดีจริงหรือ”
“เศรษฐกิจมีปัญหาอะไรบ้าง ต้องพูดความจริง ที่ผ่านมามีการกู้เงินมาแล้วถึง 1.5 ล้านล้านบาท หนี้สินที่เราแบกอยู่คือหนี้สินที่ถูกแบกข้ามรัฐบาลมา ตัวเลขจากไอเอ็มเอฟ เราทรุดหนักสุด ฟื้นช้าสุด บ้านเรามีความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนหนักมาก”
ตัวเลขเศรษฐกิจกำลังจะเฉาตาย ที่หมอมิ้งหยิบมาโชว์ ประกอบด้วย
- คนไทยติดหนี้กันทั้งประเทศ โงหัวไม่ขึ้น
- หนี้ของภาคประชาชน หนี้ครัวเรือนเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญเกินกว่า 91.6% ของจีดีพี
- หนี้ครัวเรือนของไทยอยู่อันดับ 7 ของโลก อันดับ 3 ของเอเชีย
- เศรษฐกิจโตและไม่ถึงจุดที่เคยโตมาแล้วก่อนช่วงโควิด
- เศรษฐกิจไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวเฉลี่ย 1.9%
- เงินเฟ้อจาก 5% ล่าสุด 3% แล้วจะกลัวอะไรกับเงินเฟ้อ
- ในรอบ 10 เดือน ขึ้นดอกเบี้ยจาก 25% เป็น 2.5% คนคนแบกหนี้มากขึ้น
- ตำเลขกำลังการผลิต ไตรมาส 3 เหลือเพียง 58% เพราะไม่มียอดขาย
- ตัวเลขการบริโภค การใช้จ่ายสินค้าไม่คงทน-สินค้ากึ่งคงทน การใช้จ่ายภาคบริการ ลดลง
- ยอดการจดทะเบียนยานยนต์เพื่อการลงทุนในประเทศ ติดลบ 23%
- ตัวเลชการบริโภคตกหนัก กำลังซื้อไม่มี ความเชื่อมั่นการลงทุนภาคเอกชนลดลง
- หุ้นกู้ของเอกชนที่จะครบกำหนดชำระกว่า 1 ล้านล้านบาทในปีหน้า เสี่ยงเกิดต้มยำกุ้งได้
“ดังนั้น เราคาดการณ์ไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อดัชนีในการคำนวณจีดีพี ทั้งการส่งออก นำเข้า การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ การใช้จ่ายภาคเอกชน และการบริโภค ตัวเลขตกลงทุกตัว เราจึงต้องหาเครื่องมือในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เราเป็นรัฐบาล เมื่องบประมาณล่าช้า แม้แต่เครื่องมือของรัฐบาลเองก็ออกไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องรอไปจนถึงพฤษภาคม 2567 รัฐบาลจะต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ว่าจะทำอะไรต่อ เพราะมันจะใช้เวลาทั้งสิ้น”
ความน่ากลัวของเศรษฐกิจตกต่ำ ถูกเลขาธิการนายกฯระบุว่า “ตัวเลขการลงทุน มีความหมายต่อการบริโภค การใช้จ่าย การจ้างงาน และกำลังการผลิต แต่เมื่อการลงทุนภาครัฐต่ำ ความมั่นใจของทั้งตลาดไม่ดี อีกทั้งในปีหน้าจะมีหุ้นกู้ที่ครบดีลอีก 1 ล้านล้าน ถ้ารอถึงวันนั้นโดยไม่ออกมาตรการอะไร เศรษฐกิจจะดีหรือ จะหายใจไม่ออก จะตายได้นะ”
“ผมคิดว่าประชาชนรออยู่ คนที่ไปขัดขวางก็ต้องคิดให้ดีว่า สิ่งที่ประชาชนคาดหวังที่ได้จากการเลือกตั้งจะรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่การเอาประชาชนเป็นตัวประกัน เราเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง อาจจะมีคำถามข้อเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งเราพยายามที่จะแก้และรับฟังความคิดเห็นตลอดทาง”
คำถามที่ดังขึ้นทุกทิศทางที่ว่า ปัญหาของโครงการแจกเงิน 10,000 บาท เพราะคนไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล หรือคนไม่เชื่อมั่นต่อเพื่อไทย
คำตอบของเลขาธิการนายกฯคือ “เรามั่นใจว่าได้ศึกษาแล้ว และมั่นใจว่าด้วยความเชื่อมั่นในผลประโยชน์ของประชาชนที่เรายืนหยัดมาโดยตลอด คิดว่าจะฟันฝ่าไปได้ ต้องเชื่อมั่นต่อนโยบายที่ประชาชนเลือกมา กับพรรคการเมืองที่เขาเลือกมา ไม่ใช่เราคิดไม่ครบ ทำไม่ได้ เราคิดครบเท่าที่เราจะมองเห็น แต่พอเข้ามาแล้วต้องเจอปัญหา อุปสรรคเพิ่มขึ้นก็ต้องขจัดปัญหาเหล่านั้น”
หมอเลี้ยบย้ำวิกฤตแน่ แต่มีทางออก
นพ.สุรพงษ์ หรือหมอเลี้ยบ ออกมาชี้ทางออกจากวิกฤติเศรษฐกิจ กรณีออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ว่ารัฐบาลมีทางออกอย่างน้อย 2 ทาง คือ กู้ในประเทศและต่างประเทศ ส่วนในประเทศจะกู้แบบไหน ขอให้คนที่เกี่ยวข้องเป็นคนบอกว่าวิธีการเป็นอย่างไร สำหรับการกู้เงินต่างประเทศอยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่จะมีปัญหาเรื่องดอกเบี้ย ในทั่วโลกมีเงินเยอะ แต่จะต้องหาแหล่งเงินที่ดอกเบี้ยราคาถูก ซึ่งตรงนี้เป็นโอกาสที่สามารถทำได้
หมอเลี้ยบตอกย้ำว่า ถ้าไม่ทำมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เศรษฐกิจประเทศจะเสียหายมาก และบรรดาผู้ที่ออกมาเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจ โดยตั้งใจปกปิดบิดเบือนตัวเลขบางตัว หากเศรษฐกิจไม่ดีต้องรับผิดชอบกับการสร้างความคลาดเคลื่อนครั้งใหญ่ด้วย
หมอเลี้ยบสรุปความจำเป็นที่ต้องกู้ 5 แสนล้าน และต้องแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ว่ามี 3 ประเด็น
- ประเด็นที่ 1 ถ้าเราเอาเม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท หรือประมาณ 3% ของจีดีพี คิดว่าอัตราการเติบโตของจีดีพี ต้องมากกว่า 3% อยู่แล้ว เงินมันหมุนหลายรอบ
- ประเด็นที่ 2 ถ้าเราเรียนรู้จากกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจ่ายเยียวยาไปเยอะมาก เช่น โครงการคนละครึ่ง สิ่งที่รัฐบาลนี้ออกแบบคือลงไปทีเดียวใน 6 เดือนให้ได้ เงื่อนไขที่กำหนดเพื่ออุปโภคบริโภคเท่านั้น โดยจะต้องใช้ในพื้นที่จำกัด 1 อำเภอ เป็นการบังคับให้เงินหมุน ถ้าเงินหมุนหลายรอบ จีดีพีโตเกิน 5% แน่
- ประเด็นที่ 3 เรื่องการคาดการณ์จีดีพี ตอนต้นปีธนาคารแห่งประเทศไทย ทำนายเศรษฐกิจจะโต 3% พอปลายปีโต 5% เพราะสิ่งรัฐบาลพูดในขณะนั้นไม่ใช่แค่ 3% ต้องมากกว่านี้แน่ ฉะนั้น กระบวนการต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดการผลักดันเศรษฐกิจเดินไปข้างหน้าได้ แน่นอนเราตั้งเป้า 5% จะไปถึงหรือไม่ ก็อยู่ที่ความพยายามของรัฐบาลใน 1 ปีข้างหน้า
หมอเลี้ยบเชื่อมั่นว่า มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะโต 5% พร้อมยกตัวอย่างย้อนหลัง-แย้งความเห็นของ นางสาวศิริกัญญา รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลว่า “ตอนสมัยรัฐบาลไทยรักไทย คาดการณ์แย่กว่าที่เป็นจริงหลังมันเกิดขึ้นแล้ว ปรากฏว่าตัวเลขดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในแง่ของการผลักดันมาตรการต่าง ๆ บางทีไม่สามารถบอกล่วงหน้าได้”
การตั้งเป้าสูง 5% จึงเกิดวิวาทะ ที่นางสาวศิริกัญญาเปรียบเปรยว่า “คือการเฆี่ยนลาให้วิ่งเร็วเท่าม้า ศักยภาพเรามีเท่านี้ แต่กระตุ้น ๆ โดยที่ไม่ดูพื้นฐานเลยว่าพื้นฐานเราโตได้เท่าไหร่ การแก้ปัญหาแบบนี้ไม่ใช่กระตุ้นระยะสั้นแล้วจะได้ผลเลย”
หมอสุรพงษ์ต้องตีตื้น-ตอบโต้ ด้วยวรรคสำคัญว่า “เราไม่ได้เกิดมาเป็นลา เราเกิดมาเป็นม้า แต่ม้าป่วยไป 10 ปี เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นลาแล้วจะเป็นลาต่อไป เราคือม้าที่เราจะต้องรักษาอาการป่วย แล้ววิ่งไปให้เร็วที่สุด เพราะเพื่อนบ้านเรามาจ่ออยู่ข้างหลังแล้ว สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ตอนนี้คือพยายามเพิ่มศักยภาพ”
ทั้งหมดนี้คือฉากสำคัญในสนามแม่เหล็กการเมือง ที่รัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ต้านแนวค้านไม่ไหว ต้องดันดีกรีนักการเมืองระดับ 2 หมอคู่บารมี นายทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาโต้..อีกครั้ง