อินไซด์เกมสภา “นิรโทษกรรม” พรรครัฐบาล ปิดประตูล้างผิดคดี ม.112

สภา ม.112
คอลัมน์ : Politics policy people forum

สภาผู้แทนราษฎร เดินหน้าปลดชนวนความขัดแย้งการเมืองในรอบ 2 ทศวรรษ

เมื่อคิกออฟตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม จำนวน 35 คน มี “ชูศักดิ์ ศิรินิล” สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นประธาน

หลังจากมีพรรคการเมือง 3 พรรค ประกอบด้วย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคก้าวไกล รวมถึงภาคประชาชน เสนอร่างกฎหมายที่เป็นการ “นิรโทษกรรม” คดีต่าง ๆ ทางการเมือง ในช่วงความขัดแย้ง

4 กฎหมายนิรโทษกรรม

1.นิรโทษกรรมฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติ ใช้ชื่อร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข โดยสาระสำคัญคือ 1.จะไม่นิรโทษกรรมผู้ที่ละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ถือเป็นจุดยืนสำคัญของพรรค 2.ไม่นิรโทษกรรมให้กับผู้ที่ทำการทุจริตคอร์รัปชั่น 3.ไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ที่กระทำความผิดอาญาอย่างร้ายแรง เช่น ฆ่าผู้อื่น หรือทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้สูญเสียแก่ชีวิต

2.นิรโทษกรรมฉบับพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ใช้ชื่อร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข นิรโทษกรรมคดีการเมือง ให้มีผลย้อนหลังถึงความผิดในอดีตที่มีมูลเหตุจากแรงจูงใจทางการเมืองทุกคดี ไม่จำกัดช่วงเวลาจนถึงวันที่ยื่นร่างกฎหมายคือวันที่ 20 ธ.ค. 2566 แต่ยกเว้น 1.ความผิดมาตรา 112 2.คดีทุจริต 3.คดีอาญาร้ายแรง

3.นิรโทษกรรมฉบับพรรคก้าวไกล ใช้ชื่อว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. … โดยนิรโทษกรรมย้อนหลังตั้งแต่ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯปี 2549 ถึงปัจจุบัน

ADVERTISMENT

นิรโทษกรรมการกระทำของผู้เดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง รวมถึงผู้ไม่ได้ร่วมเดินขบวน แต่ได้กระทำที่มีเหตุเกี่ยวข้อง

นิรโทษกรรมความขัดแย้งทางการเมือง ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำความผิดเพื่อการนิรโทษกรรม กำหนดตั้งแต่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าวมีผลบังคับใช้ เว้นก็แต่ไม่ “นิรโทษกรรม” เฉพาะบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม

ADVERTISMENT

เกณฑ์การพิจารณาผู้ที่จะได้รับการนิรโทษกรรม ต้องกระทำโดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยตัวแทนภาคประชาชนและนักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ผู้ที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับนิรโทษกรรม มีสิทธิที่จะเลือกไม่รับการนิรโทษกรรมได้

และ 4.นิรโทษกรรมประชาชน ใช้ชื่อ ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ. … (พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) เริ่มนับเวลานิรโทษกรรมตั้งแต่การรัฐประหาร 2549 โดยนิรโทษกรรม คดีความผิดตามประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คดีพลเรือนที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหารตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 37/2557 และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 38/2557

คดีตามฐานความผิดในมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา คดีตามฐานความผิดในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คดีตามฐานความผิดในพระราชบัญญัติออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559

ยกเว้นการนิรโทษกรรมให้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่สลายการชุมนุมหรือกระทำการใดที่เกินกว่าเหตุ หรือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 กล่าวคือ ความผิดฐานเป็นกบฏ ล้มล้างรัฐธรรมนูญ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการ แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครอง

มีคณะกรรมการนิรโทษกรรมประชาชน จำนวน 19 คน มีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธาน เป็นผู้ชี้ขาดคดี

เบื้องหลังตั้ง กมธ.นิรโทษกรรม

สำหรับเบื้องหลังการตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม เกิดขึ้นโดยไอเดียของแกนนำพรรคเพื่อไทย

เนื่องจากมองว่า หากเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าไปในสภาทันทีอาจมีปัญหาทั้งใน-นอกสภา

เพราะกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล-ภาคประชาชน ในเนื้อหามีเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และอาจจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ท้ายที่สุดร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจะถูกตีตกไปทั้งหมด และจะไม่มีผู้ที่ได้ประโยชน์จากเกมนี้ เว้นแต่บางฝ่ายไปต่อยอดการเมืองนอกสภา

“ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งสูง โดยเฉพาะให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชี้ขาดความผิด ว่าใครควรจะเข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรม ซึ่งกฎหมายควรมีบรรทัดฐาน ใครควรได้รับนิรโทษกรรม โดยเฉพาะมาตรา 112 หากคณะกรรมการนิรโทษกรรมให้กับคดีหนึ่ง แต่ไม่นิรโทษกรรมให้กับอีกคดีหนึ่ง ก็จะไม่มีบรรทัดฐาน”

“อีกทั้งพรรคการเมืองซีกรัฐบาล ก็แสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรมมาตรา 112 อยู่แล้ว การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ จึงเป็นการหาทางออก เพื่อให้ตกผลึกก่อนนำร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสู่การพิจารณาในสภา” แหล่งข่าวกล่าว

คณิตถอนตัวให้ความเห็น

ภายหลังตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้วางกรอบการทำงาน โดยนำร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทุกฉบับมาศึกษา รวมถึงร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับ “สุดซอย” ที่เสนอโดย วรชัย เหมะ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย เมื่อ 10 ปีที่แล้วมาศึกษาด้วย

นอกจากนี้ ในการประชุมนัดที่ 2 มีการเชิญ 2 อดีต บุคคลที่มีสัญลักษณ์การ “ปรองดอง” มาให้ข้อมูล

หนึ่ง “คณิต ณ นคร” อดีตประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)

สอง “โคทม อารียา” ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

คณะกรรมาธิการเห็นว่า 2 คนนี้ มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม ซึ่งสามารถให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของคณะกรรมาธิการได้

ทว่า “คณิต” ปฏิเสธที่จะไปให้ความเห็น โดยขอให้ กมธ.นำรายงานของ คอป.มาพิจารณา ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีใครนำความเห็นของ คอป.ไปขยายผลให้เป็นรูปธรรม สุดท้ายก็ยังคงมีการยึดอำนาจรัฐประหาร และการปฏิรูปตำรวจก็ไม่ได้เป็นรูปธรรม จึงเห็นว่าหากจะมาให้ความเห็นอาจจะไม่เกิดประโยชน์

ด้วยปัจจัยสังคมที่ละเอียดอ่อน แหล่งข่าวจากฝ่ายรัฐบาลยอมรับว่า นาทีนี้ นิรโทษกรรมคดี 112 เหมือนปิดประตูไปแล้ว