
รัฐบาลออกมาตรการเร่งด่วนหยุดฝุ่น PM 2.5 เปิดให้ประชาชนนั่งรถไฟฟ้าทุกสาย-ขสมก.ฟรี 7 วัน เริ่ม 25 ม.ค.นี้ ถึง 31 ม.ค. 68 จ่อขอ ครม.ใช้งบฯกลาง 140 ล้านจ่ายผู้ประกอบการ นายกฯสั่งแก้ปัญหาระยะสั้นเร่งด่วน 6 ด้าน กสิกรชี้เบื้องต้นกระทบเศรษฐกิจ 3,000 ล้าน
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวถึงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในการให้กระทรวงคมนาคมและส่วนราชการอื่น ๆ สนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในกรุงเทพมหานคร ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ (25-31 ม.ค.) จะให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้าฟรีทุกสาย รวมถึงรถขนส่ง ขสมก.ฟรี
โดยตนเองได้ประสานไปยังผู้ประกอบการทั้งกลุ่มบีทีเอส และ BEM ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการนี้ ซึ่งในส่วนที่ต้องชดเชยภายใน 7 วันนี้ จะคำนวณตามรายได้ที่ได้รับเท่ากับ 7 วันที่ผ่านมา โดยงบประมาณที่จะนำมาชดเชยจะนำมาจากงบฯกลางประมาณ 140 ล้านบาท หลังจากนี้ จะนำข้อเสนอนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อแจ้งให้ทราบถึงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีต่อไป
ขณะที่ทางกระทรวงคมนาคมมีการตั้งจุดตรวจจับรถควันดำทั้งหมด 8 จุด ได้แก่
- บริเวณหน้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
- ท่าเรือคลองเตย
- หน้าสวนจตุจักร ถ.พหลโยธิน
- ถ.บางนา-ตราด กม.1
- ถ.สุวินทวงศ์ หน้าการประปามีนบุรี
- ถ.พระรามสองขาออก หน้าแขวงการทางบางขุนเทียน
- ถ.รังสิต-นครนายก กม.4 หน้าโลตัส
- ถ.บรมราชชนนี ขาเข้า-ออก
โดยวันนี้ตนเองจะลงพื้นที่ตรวจบริเวณท่าเรือคลองเตย เวลา 15.30 น.
อย่างไรก็ตาม คาดว่ามาตรการนี้จะสามารถจูงใจให้ประชาชนมาใช้บริการรถสาธารณะเพิ่มขึ้น 20-30% หากดำเนินการภายใน 7 วันแล้ว จะมีการประเมินสถานการณ์รวมถึงค่าฝุ่น เพื่อพิจารณาว่าจะมีการขยายเวลาเพิ่มอีกหรือไม่
นายกฯสั่งแก้ปัญหาระยะสั้นเร่งด่วน
ทางด้านนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก Ing Shinawatra ถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่าเนื่องจากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ยังเป็นที่น่ากังวล ดิฉันจึงขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการเร่งด่วนเพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้น ดังนี้
1.ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชน ให้เจ้าหน้าที่และพนักงานสามารถทำงานแบบ WFH เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และได้สั่งการไปทางกระทรวงคมนาคมให้สนับสนุนยกเว้นค่ารถไฟฟ้า-ค่ารถเมล์ ภายใต้กำกับของรัฐเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เพื่อลดปริมาณฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์
2.ให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด หากมีความชื้นมากเพียงพอ ขอให้ปฏิบัติการฝนเทียมเจาะช่องบรรยากาศทั่วกรุงเทพฯ
3.ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบทุกพื้นที่อย่างใกล้ชิด หากพบเห็นการเผา ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายทันที
4.ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดตั้งแอปพลิเคชั่นสำหรับรับแจ้งเหตุการเผา ให้พี่น้องประชาชนสามารถรายงานจุดที่เกิดการเผาได้อย่างรวดเร็ว และเร่งแก้ปัญหาที่พบในทันที
5.ขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าฯชัชชาติ ให้กวดขันไซต์ก่อสร้างที่ไม่คลุมผ้าป้องกันฝุ่นตามกฎหมายโดยเคร่งครัด และช่วงอากาศปิด ขอความร่วมมือให้เลื่อนการก่อสร้างที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองออกไปก่อน
6.ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่าน กวดขันรถควันดำโดยเคร่งครัด
“รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาฝุ่นควันอย่างเต็มที่ โดยมีทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว และจะเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว” นายกฯกล่าวในตอนท้าย
ชี้เบื้องต้นกระทบเศรษฐกิจ 3,000 ล้าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ปัญหาสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ปกคลุมพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลว่า จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิตประจำวัน สะท้อนจากดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) เฉลี่ยสูงกว่าระดับ 100 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ต่อเนื่องติดต่อกันเกิน 1 สัปดาห์ (18-26 มกราคม 2568) ทำให้คนบางกลุ่มต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะด้านสุขภาพ
ทั้งนี้ ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจเบื้องต้น โดยใช้สมมุติฐานว่า คนกรุงเทพฯป่วยเป็นโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจไม่ต่ำกว่า 2.4 ล้านคน และประมาณ 50% ของจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ อาจมีอาการเจ็บป่วยจนจำเป็นต้องเดินทางไปพบแพทย์ในช่วงนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง/เดือน และมีค่ารักษา ค่าเดินทาง เฉลี่ยต่อคน 1,800-2,000 บาท รวมถึงประชาชนทั่วไปที่อาจมีค่าใช้จ่ายในการดูแลป้องกันสุขภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเสียโอกาสจากประเด็นด้านสุขภาพทั้งการรักษาและการป้องกันอยู่ที่ราว 3,000 ล้านบาท
ขณะที่หากรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น เช่น การหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง การทำงานที่บ้าน การหยุดเรียน การท่องเที่ยว เป็นต้น รวมถึงผลกระทบที่เกิดในพื้นที่อื่น ๆ ค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจะสูงกว่านี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจข้างต้นเป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงเม็ดเงินผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ยังประเมินออกมาเป็นมูลค่าผลกระทบอย่างชัดเจนได้ยากยังคงมีอยู่ ที่สำคัญคือ ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว หรือความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง ตลอดจนผลต่อภาพรวมของประเทศที่ทางการมุ่งหวังจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ ทั้งการท่องเที่ยว การแพทย์ และอื่น ๆ ในเวทีโลก






