ชินวัตร เทหมดหน้าตัก! หนุน เพื่อไทย “ทักษิณ” กินรวบฐานเสียงเก่า-ใหม่

เพราะกติกาเลือกตั้งแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ตามรัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์ ทำให้ทุกพรรคการเมืองต้องปรับกลยุทธ์ 360 องศา ในการเลือกตั้ง 2562

การเลือกตั้งบัตรใบเดียว กาครั้งเดียวได้ทั้งระบบเขต และปาร์ตี้ลิสต์ เป็นสูตร “คะแนนไม่ตกน้ำ” ด้วยการนำคะแนนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ ส.ส.ทุกพรรคมารวมกัน แล้วหารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 500 คน ระบบเลือกตั้งของมีชัยตั้งฐานผู้มาลงคะแนนเลือกตั้งไว้ว่า หากมีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 50 ล้านคน เมื่อหาร 500 จะเท่ากับ 70,000 คะแนน

70,000 คะแนนที่คนไปกาบัตรจะได้ ส.ส. 1 คน ซึ่งเป็นการนำคะแนนของคนที่แพ้ในระบบเขต ก็เอามาคิดเป็นจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่พึงมีคะแนนตามสูตรเลือกตั้งใหม่กร่อนคะแนนของพรรคที่เคยได้ ส.ส.ระบบเขตมาก อย่างพรรคเพื่อไทย จากคะแนนเลือกตั้ง 2554 ได้ 204 เสียงในระบบเขต และปาร์ตี้ลิสต์ 61 เสียง เมื่อแกนนำพรรคเพื่อไทยนำฐานคะแนนปี 2554 ไปจับกับสูตรเลือกตั้งใหม่ “จัดสรรปันส่วนผสม” ผลที่ออกมาอาจไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เหลืออยู่เลย

ต่างจากพรรคขนาดกลางที่เคยได้คะแนนเขตน้อย แต่ระบบดังกล่าวจะเติมแต้มจำนวน ส.ส.พึงมี ให้เพิ่มขึ้นจากเดิม พรรคขนาดกลางอย่างภูมิใจไทย จะได้แต้มบวกจากระบบนี้

3 นักรัฐศาสตร์ 3 สูตรเลือกตั้ง

“คณิตศาสตร์การเมือง” ก่อนถึงวันโหวตเลือกตั้งจริงปี 2562 ถูกพูดถึงในวงกว้างทั้งระดับนักการเมือง โดยระดับนักรัฐศาสตร์ 3 คน จาก 3 สำนักคิด ออกมาคำนวณตัวเลข

คนแรก “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปัจจุบันเป็นคณบดีรัฐศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์

ยกตัวอย่างว่า พรรคการเมืองขนาดกลางได้ ส.ส.เขตมาแล้ว 30 คน หากได้คะแนน ส.ส.เขตรวมทั้งประเทศ 3,500,000 คะแนน จะนำมาหาร 70,000 ทำให้ ส.ส.พึงจะมีของพรรคขนาดกลางนี้ คือ ส.ส. 50 คน แล้วนำ ส.ส.พึงมี 50 คน ลบด้วย ส.ส.เขต 30 คน จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 20 คน

เมื่อนำสูตรนี้ไปจำลองกับพรรคเพื่อไทย ที่ชนะได้ ส.ส.เขต 204 คน มีคะแนน ส.ส. รวมทั้งประเทศ 13,500,000 คะแนน นำ 13,500,000 หาร 70,000 เพื่อไทยจะได้ ส.ส.พึงมี 192 คน แต่กลับได้ ส.ส.เขตมาแล้ว 204 เขต ก็จะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์อีก

คนที่สอง “สติธร ธนานิธิโชติ” นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า คิดจากสมมติฐานว่า คะแนนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงให้กับพรรคการเมืองต่าง ๆ ประมาณ 35 ล้านเสียง หารด้วยจำนวน ส.ส. 500 ที่นั่ง จะได้เท่ากับ 70,000 คะแนนเท่ากับ ส.ส. 1 คน เมื่อนำตัวเลข 70,000 ไปหาร 14 ล้านเสียงของพรรคเพื่อไทย จะได้ 200 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ที่เคยได้ 10 ล้านเสียง จะได้ 150 ที่นั่ง ภูมิใจไทย 3.5 ล้านเสียง จะได้ 50 ที่นั่ง

“ถ้าในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทยรักษาที่นั่งเขตเดิมไว้ได้ทั้งหมด คือ 200 ที่นั่ง จาก 204 ที่นั่ง เพราะจะลดลงตามเขตเลือกตั้ง จาก 375 เหลือ 350 เขตเลือกตั้ง ตัวเลขของพรรคเพื่อไทยที่คาดการณ์ได้จากระบบเขต คือ 200 เขต จะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์อีก ส่วนประชาธิปัตย์ที่เคยได้ 115 ที่นั่ง เมื่อจำนวนเขตลดลง ประชาธิปัตย์อาจมี ส.ส.เขตได้ 110 ที่นั่ง ก็จะได้ปาร์ตี้ลิสต์เติมเข้าไป 40 ที่นั่ง”

พท.ได้ปาร์ตี้ลิสต์บวก 10 ที่นั่ง

คนที่สาม “สิริพรรณ นกสวน สวัสดี”นักรัฐศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ในเชิงเห็นต่างจาก 2 คนแรกที่เห็นว่าพรรคเพื่อไทยได้ปาร์ตี้ลิสต์ของเพื่อไทยเหลือ 0 เนื่องจากชนะ ส.ส.เขตไปแล้ว 204 เขต จึงอาจไม่ได้รับจัดสรรที่นั่งระบบบัญชีรายชื่ออีก

สิริพรรณวิเคราะห์ว่า ปี 2554 เพื่อไทยได้คะแนนเป็นอันดับ 2 จำนวน 128 เขต ซึ่งเป็นอันดับ 2 ที่คะแนนค่อนข้างสูงในทุกเขต อยู่ในอันดับ 3 จำนวน 36 เขต ที่คะแนนส่วนใหญ่เกิน 10,000 คะแนน ยกเว้นใน 14 เขต ภาคใต้ และได้อันดับ 4 และ 5 ใน 7 เขต ทั้งหมดล้วนอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเพื่อไทยมีคะแนนเพียงเขตละหลักพัน

“แม้กลไกระบบเลือกตั้งใหม่จะทำให้เพื่อไทยได้ ส.ส.น้อยลง แต่ด้วยสัดส่วนคะแนนที่เพื่อไทยชนะในอันดับ 2 และ 3 ที่สูงดังกล่าว จึงเชื่อว่าเพื่อไทยน่าจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า 20 ที่นั่ง ไม่ใช่ 0 ที่นั่งอย่างที่บางท่านเสนอไว้ เมื่อรวมกับ ส.ส.เขตแล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะได้ 200 ที่นั่ง (+-10)”

อย่างไรก็ตาม อีกสูตรหนึ่งที่ใกล้เคียงกับ 3 สูตร แต่เป็นสูตรของ กกต.ที่เคยคำนวณตัวเลขไว้ และมีแนวโน้มใกล้ความเป็นจริงที่สุด โดยใช้สูตรนำคะแนนเสียงของแต่ละพรรคที่ได้ไปหาร 70,000 ก็จะได้ผลลัพธ์จำนวน ส.ส.พึงได้ เช่น พรรคเพื่อไทยได้ 204 ที่นั่ง หาร 70,000 จะได้ 204 ที่นั่ง เป็นจำนวน ส.ส.พึงมี จากนั้น นำยอด ส.ส.ที่พึงมี ลบด้วยยอด ส.ส.เขตที่แต่ละพรรคได้รับ

เช่น จำนวน ส.ส.พึงมีของพรรคเพื่อไทย มี 204 ที่นั่ง เมื่อนำจำนวน ส.ส.ที่ได้จริงในปี 2554 มาเทียบกับระบบเลือกตั้งใหม่แบบบัญญัติไตรยางศ์ พรรคเพื่อไทยอาจได้ส.ส.เขต 190 ที่นั่ง จึงต้องเติมแต้ม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ให้พรรคเพื่อไทยอีก 14 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์อาจได้ ส.ส.ระบบเขต 107 ที่นั่ง แต่ได้จำนวน ส.ส.พึงมี 145 ที่นั่ง ต้องเติม ส.ส.ไปอีก 38 ที่นั่ง เป็นต้น

พรรคเกิดใหม่ชิง 61 ที่นั่ง

แต่ทุกสูตรได้บทสรุปตรงกันว่า พรรคใหญ่ที่ได้ ส.ส.เขตมากเท่าไหร่ จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ยิ่งลด เกมแก้แท็กติกจึงเกิดขึ้น โดยพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย จึงตั้งพรรคลูก พรรคอะไหล่ อย่างพรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ เช่นเดียวกับพรรคฝ่ายที่ตั้งท่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เป็นนายกฯต่อไป ก็แตกตัวออกอย่างน้อย ๆ 3-4 พรรค เช่น พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป

เป็นเกมที่ทุกพรรค นอกจากเก็บแต้มในเขต แต่ยังต้องคิดถึงยุทธศาสตร์เก็บคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ โดยส่งคนไปแพ้ในเขตเลือกตั้ง เพื่อเก็บคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ให้มากที่สุด ที่มาจาก 70,000 คะแนน จะได้ ส.ส. 1 คน

นอกจากนี้ ในสถิติการเลือกตั้งปี 2554 ยังพบว่า มี “พื้นที่กลาง” ซึ่งอาจเป็นตัวแปรทางผลคะแนนซึ่งเป็นพื้นที่การเมืองที่ไม่ใช่ 2 พรรคใหญ่

เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ บางเขตเลือกตั้งเคยเป็นพื้นที่ของพรรคการเมืองที่ปัจจุบันยุติบทบาท เช่น พรรครักษ์สันติ รวม 61 เขตเลือกตั้ง ซึ่งนับรวมเขตภาคตะวันออกที่ “พรรคพลังชล” ตระกูลคุณปลื้มประกาศงดส่งผู้สมัคร

เปิดทางให้พรรคที่มีกำลังพอที่จะไปคว้าคะแนน เช่น ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา รวมถึงพรรคที่หนุน พล.อ.ประยุทธ์ เบิลอำนาจรอบสองอย่าง พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป ช่วงชิงคะแนนตรงเขตนี้

“ทักษิณ” ปักหลักใช้เพื่อไทยสู้

ทว่า…นอกเหนือสูตรคณิตศาสตร์เลือกตั้งที่นักยุทธศาสตร์การเมืองประจำแต่ละพรรค ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับการหาช่องทางหลบแท็กติกอันแยบยลในรัฐธรรมนูญมีชัยแล้ว

แฟกเตอร์การเมืองที่สำคัญอีกภาพหนึ่ง คือ การปรากฏตัวทั้งครอบครัว “ชินวัตร” ทั้ง “พินทองทา-แพรทองธาร”

ซึ่งไปให้กำลังใจ “พานทองแท้” เมื่อ 10 ต.ค. ที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2542 และเหนือทั้งหมดทั้งมวล คือ การปรากฏตัวของนางสิงห์ออกจากถ้ำ

“คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร์” แวดล้อมด้วยแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาสนับสนุนการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ภาพการเมืองชอตนี้เกิดขึ้นหลัง “พานทองแท้” โพสต์เฟซบุ๊ก 1 วัน ก่อนมาที่อัยการสูงสุดกันยกแผง

“เอาคดีปักมันไว้ มันจะได้ไม่อยู่ให้รำคาญใจ ช่วงเลือกตั้ง..!!”

“คือเสียงคำรามครั้งสุดท้าย ก่อนที่อัยการจะเรียกตัวผมไปฟังคำสั่งคดีฯ ครับ 555555 ฝันไปเถอะครับลุงฉุน..!!”

“3 วันก่อน ผมบินออกนอกประเทศ เพื่อไปเยี่ยมคุณพ่อที่ฮ่องกงจริงครับ พอบินออกไปปุ๊บก็เฮกันลั่นตึก… บอกเลือกตั้งครั้งหน้าเบาแล้ว เดี๋ยวครอบครัวมันก็เผ่นไปกันหมดบ้าน..!!”

“นอกจากเราจะไม่เผ่นกันแล้ว ผมยังจะชวนทุกคนในบ้านมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคกันด้วยครับ เมื่อก่อนมีพ่อเป็นคนเดียว คราวนี้ผมจะชวนมากันให้หมด จะได้ไม่ต้องเอาข้อกฎหมายมากล่าวหากัน ว่าคนนอกเข้ามาบงการ ต้องยุบพรรคอย่างโน้นอย่างนี้”

คนการเมืองเพื่อไทยตีความว่า ถ้า “ครอบครัวชินวัตร” มาสมัครสมาชิกเพื่อไทยกันยกตระกูล อาจเป็นคำตอบสุดท้ายว่า “ทักษิณ” ยังปักหลักใช้ “ฐานเพื่อไทย” ในการต่อสู้ทั้งเกมกฎหมาย และเกมการเลือกตั้งเกมนี้ “ทักษิณ” ต้องสู้ แม้เป็นเกมที่เสี่ยง แต่ถ้าได้ใจฐานเสียงเก่า-ใหม่ เท่ากับเก็บแต้มสะสมชัยชนะ ตั้งแต่จุดสตาร์ต ต่อเนื่ิองด้วยการแกรนด์โอเพนนิ่ง

“เอม-อิ๊ง” ในสนามข่าวการเมือง ผ่านเว็บข่าว 2-3 แห่ง ในระยะอันใกล้นี้ ขับเคี่ยวกับฝ่าย “ว่าที่รัฐบาลทหาร” ที่ต้องผนึกประชาธิปัตย์ ในฐานะ “ตัวแปร” สำคัญ หนุน “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นนายกฯ

เพราะคะแนน “จัดสรรปันส่วนผสม” มีเพียงประชาธิปัตย์พรรคเดียว ที่ได้คะแนนเสียงเพียงพอที่จะต่อกรกับเครือข่ายพรรคเพื่อไทยและพรรคพวก


ทั้งพรรคเพื่อไทย จึงต้องตบเท้าหนุน “ชินวัตร” ในทุกคดี เช่นเดียว “ชินวัตร” เทหมดหน้าตักหนุนเพื่อไทยทางเดียวเท่านั้น ที่จะชิงชัยชนะ ในการเลือกตั้ง